A Street Cat Named Bob

A Street Cat Named Bob จากเรื่องราวอันน่าประทับใจจากเรื่องจริงจนนำมาสู่การบอกเล่าในหนังสือขายดี A Street Cat Named Bob ที่โด่งดังไปทั่วโลก เรื่องราวของชายติดเฮโรอีนและแมวพลัดหลงในตอนเหนือของลอนดอน ที่ต่างคนต่างมาเจอกันและได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เรื่องราวดีๆจึงเกิดขึ้น เพราะเจมส์ โบเว่น ผู้มาพบเจอแมวสีส้มสุดน่ารัก ที่เขาเรียกว่า Bob ต่างได้ร่วมเดินทางไปด้วยกันและเจมส์ก็เลิกติดยาเพื่อแมวตัวนี้ ความหวังใหม่และการดำเนินชีวิตที่เต็มไปด้วยความเอื้อเฟื้อของสองชีวิต ต่างเป็นเรื่องราวดีๆ ที่ใครได้เห็นต้องรู้สึกว่าพวกเขาเกิดมาพื่อกันและกัน และความโด่งดังนี้นำมาสู่การนำมาสร้างเป็นหนัง ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของบ๊อบและเจมส์ คู่หู่แห่งลอนดอน ตั้งแต่เริ่มเจอกันจนถึงการใช้ชีวิตในแบบที่เขาต้องการในปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยความสุขและตระหนักถึงคุณค่าของกันและกันอีกหนึ่งหนังที่สร้างมาจากหนังสือขายดี ซึ่งจะช่วยให้เวลาใกล้สิ้นปีของคุณไม่เหงา กับเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างคนกับแมว ซึ่งจะมาช่วยปลอบประโลมบาดแผลในใจของกันและกันให้มันถูกเยียวยาจนหายดี ตัวหนังสือเองได้รับการตีพิมพ์ในปี 2012 ด้วยความดีงามของเรื่องราวทำให้มันได้รับการตีพิมพ์ในอีกหลายๆประเทศทั่วโลกกว่าสามสิบประเทศ ด้วยยอดขายกว่าห้าล้านเล่ม น่าจะพอการันตีความดีของเรื่องราวได้พอสมควร และมันกำลังจะถูกถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์ม ด้วยฝีมือการกำกับของ Roger Spottiswoode

เนื้อเรื่องของหนังน่าดูหนัง

A Street Cat Named Bob เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มนักดนตรีเปิดหมวกที่ชื่อว่า เจมส์ โบเวน ซึ่งวันหนึ่งเขาบังเอิญไปพบเจ้าแมวสีส้มซึ่งได้รับบาดเจ็บ อาจจะเพราะด้วยโชคชะตาหรือฟ้าลิขิต อย่างไรก็ตาม เจ้าแมวตัวนี้คือสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนชีวิตเขาไป จนมันกลายมาเป็นคู่หูตัวโปรดที่เขาต้องพกพามันไป ณ ทุกที่ที่เขาไป ทุกครั้งที่เขาเล่นดนตรีเปิดหมวก ไม่เพียงแค่ช่วยเติมเต็มชีวิตให้กันและกันเท่านั้น แต่ทั้งคู่ยังช่วยเยียวยาบาดแผลจากอดีตให้กันและกันอีกด้วย เจมส์ โบเว่น ชายหนุ่มที่เกิดมาในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เด็ก เขาต้องเดินทางไปออสเตรเลียและอาศัยอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยง เขาไม่มีความสุขกับการอยู่ที่นั่นเท่าใดนักเพราะไม่สามารถปรับตัวให้กับเพื่อนที่โรงเรียนได้และพ่อเลี้ยงของเขา เขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับอังกฤษบ้านเกิดของเขาเมื่ออายุ 18 ปี แต่การกลับมาของเขากลับย่ำแย่ลงเมื่อเขากลายมาเป็นคนเร่ร่อนอาศัยหลับนอนตามริมถนนและติดเฮโรอีนในที่สุด และเขาต้องเข้ารับการบำบัดเพราะเกือบเสียชีวิตจากการเสพย์เฮโรอีนอย่างหนัก และโชคชะตานำพาเขามาเจอกับแมวสีส้มตัวหนึ่งในขณะที่ทำการบัดบัดการติดยาเสพย์ติดและมันก็บาดเจ็บ เขาได้ช่วยเหลือมันด้วยการนำมันไปหาสัตวแพทย์และจ่ายเงินค่ารักษามันจากเงินเก็บเกือบทั้งหมดที่มี หลังจากนั้นแมวตัวนี้ติดตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ยอมห่างเจมส์ไปไหน และเจมส์ก็เป็นนักดนตรีข้างถนนเพื่อหารายได้อยู่แล้ว ทุกครั้งที่เจมส์แสดงแมวสีส้มตัวนี้จะอยู่ข้างๆเขาเสมอ จนผู้คนที่ผ่านไปมาต่างเอ็นดูในความน่ารักของแมวสีส้ม มีผู้คนมากมายนำอาหาร เสื้อผ้า ของเล่นและผ้าพันคอมาให้มันเป็นจำนวนมาก ซึ่งเจมส์ตั้งชื่อแมวตัวนี้ว่า บ๊อบ เรื่องราวของทั้งสองเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมีเอเจนซี่ทำหนังสือสนใจติดต่อให้เขาเซ็นต์สัญญาบอกเล่าเรื่องราวระหว่างเขาและบ๊อบเพื่อตีพิมพ์ออกจำหน่าย

งานนี้สาวกคนรักแมวทั้งหลายคงกรีดร้องซื้อตั๋วเข้าโรงแทบจะไม่ทัน เพราะนอกจากจะได้ชมความน่ารักของแมวที่น่าหลงใหลแล้ว เนื้อเรื่องยังอบอุ่นเสียจนน่าหลงรัก ยิ่งเมื่อรู้ว่าแม้มันจะสร้างมาจากหนังสือ แต่เนื้อเรื่องในหนังสือนั้นอิงมาจากเรื่องจริง ยิ่งช่วยให้มันดูน่าว้าวขึ้นมากเลยทีเดียว ซึ่งหลังๆ เราก็ได้เห็นหนังที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนกับสัตว์ต่างๆมากขึ้น อาจจะเพราะโลกเราไร้พรมแดน ไร้กรอบมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บางครั้งคำว่าเพื่อนอาจจะไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ว่าต้องเป็นคนเหมือนเราเสมอไป เพราะไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธ์ไหน ก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้ทั้งนั้น ยิ่งกับสัตว์ที่มีความน่ารักขี้อ้อนกับมนุษย์อย่างแมว ยิ่งเป็นเพื่อนกันได้ง่ายงานนี้ใครที่ชอบแมวอยู่แล้วยิ่งไม่ควรพลาด

หนังเรื่องนี้น่าดูแค่ไหน

การพบกันของทั้งสองเป็นเรื่องราวแสนอบอุ่นจากเจมส์คนที่แทบจะไม่เหลืออะไรในชีวิต มาเจอบ๊อบแมวบาดเจ็บ เจมส์ให้ความเมตตาช่วยเหลือบ๊อบรักษามันจนหายดี ก่อให้เกิดเป็นมิตรภาพอันยิ่งใหญ่และเปลี่ยนชีวิตของทั้งสองไปอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะการได้รับความรักและการให้ความรักคือสิ่งงดงามที่สุดสิ่งหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนควรค่า ความซาบซึ้งจับใจคือสิ่งที่คุณจะได้สัมผัสเพียงตัดสินใจตีตั๋วเข้าชม

ในส่วนของเนื้อเรื่องคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะอย่างไรก็อิงมาจากเรื่องราวที่ผู้คนชื่นชอบเป็นทุนเดิม เพียงแต่บทหนังนั้นสามารถใส่จังหวะและดำเนินเรื่องให้เหมาะสมกับความป็นหนัง และถ่ายทอดสิ่งที่หนังสือต้องการสื่อให้ดี เชื่อว่าหนังก็น่าจะทำให้คนชื่นชอบได้ไม่ยาก ส่วนการแสดงของลุค ทรีดอเวย์ที่แม้จะมีผลงานมาไม่มาก และยังไม่สามารถคอนเฟิร์มได้ว่าจะประคองหนังไปได้ แต่ด้วยความที่หนังไม่ได้หนักหนาสาหัส ออกจะอบอุ่นน่ารัก จึงคิดว่าไม่มีอะไรน่ากังวล ใครชอบหนังน่ารักแสนจะอบอุ่นลองไปสัมผัสดู