เอาจริงป่ะ… ใครที่ดูภาคแรกจบแล้วอารมณ์ค้างแบบผมบ้าง? คือมันจบแบบ “ตัดจบ” ให้เราลงแดงกันข้ามปีชัดๆ! หลังจากที่เรารอกันมานานเกือบ 20 ปีนับตั้งแต่มิวสิคัลเปิดม่าน ในที่สุดบทสรุปของตำนานแห่งดินแดน Oz ก็กำลังจะมาถึงแล้วครับ กับ “Wicked: For Good”
พูดกันตรงๆ แบบไม่อวยนะ ตอนแรกที่มีข่าวว่าจะแบ่งหนังเป็น 2 ภาค ผมนี่คิ้วขมวดเลย “จะยืดเพื่อ?” แต่พอดูภาคแรกจบแล้วเห็นสเกลงานสร้าง กับดีเทลยิบย่อยที่ใส่เข้ามา ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไม Jon M. Chu ถึงไม่กล้าหั่นอะไรทิ้ง แต่คำถามสำคัญที่คอหนังอย่างเราต้องตั้งการ์ดรอคือ… ภาคสองเนี่ย มันจะแผ่วไหม? หรือจะพีคจนน้ำตาแตกสมการรอคอย? วันนี้ผม “ฅนบ้าหนัง” จะพาไปแกะรอยกัน
เรื่องย่อ Wicked: For Good ฉบับคนวงใน (สปอยล์ภาคแรกนิดหน่อยนะ)
ถ้าภาคแรกคือเรื่องราวของ “มิตรภาพ” ภาคนี้บอกเลยว่าเป็นเรื่องของ “สงครามและการเลือกข้าง” ครับ หลังจากที่ Elphaba (Cynthia Erivo) ตัดสินใจหันหลังให้ผู้มีอำนาจและถูกตราหน้าว่าเป็น “แม่มดร้ายแห่งทิศตะวันตก” (The Wicked Witch of the West) ชีวิตนางคือดราม่าหนักมาก ต้องหนีหัวซุกหัวซุนจากการตามล่า ในขณะที่เพื่อนรักอย่าง Glinda (Ariana Grande) ก็ต้องสวมหน้ากากเป็น “แม่มดผู้แสนดี” คอยเป็นกระบอกเสียงให้ Wizard (Jeff Goldblum)
พล็อตภาคนี้มันจะเข้มข้นขึ้นแบบก้าวกระโดด มันไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด แต่มันคือการเมืองใน Oz แบบเข้มๆ เลยคุณ ทั้งเรื่องการกดขี่เหล่าสัตว์ (Animals) ที่เริ่มรุนแรงขึ้น การปลุกปั่นมวลชนให้เกลียดชัง Elphaba และที่พีคคือ ไทม์ไลน์ภาคนี้มันจะวิ่งไปบรรจบกับเหตุการณ์ในหนังคลาสสิกอย่าง The Wizard of Oz ด้วย! เราจะได้เห็นว่า “เบื้องหลัง” ของเรื่องเล่าที่เราเคยรู้มาแต่เด็ก จริงๆ แล้วมันมีความลับดำมืดอะไรซ่อนอยู่ ใครที่รอฉากระดับตำนานอย่าง “รองเท้าทับทิม” หรือ “โดโรธี” บอกเลยว่าภาคนี้มาแน่ แต่จะมาในมุมที่คุณคาดไม่ถึงแน่นอน
วิเคราะห์ความน่าดูของ Wicked: For Good: มากกว่าแค่เพลงเพราะ คือโปรดักชันที่ “บ้าคลั่ง”
ทำไมผมถึงกล้าพูดว่าต้องลิสต์เรื่องนี้เป็นโปรแกรมดูหนังข้ามปี?
อย่างแรกเลยคือ “Tone & Mood” ที่เปลี่ยนไปครับ ถ้าภาคแรกคือความสดใสและเวทมนตร์ฟรุ้งฟริ้ง ภาคนี้คือ “ของจริง” ครับ มันจะมีความ Dark และ Mature ขึ้นเยอะมาก จากตัวอย่างและรีวิวฝั่งเมืองนอกที่หลุดมา เขาบอกเลยว่าธีมการล่าแม่มดและความขัดแย้งมันถูกขยี้จนขนลุก มันไม่ใช่หนังเด็กใสๆ อีกต่อไป แต่มันคือดราม่าการเมืองที่เคลือบน้ำตาลด้วยเพลงมิวสิคัล
อีกจุดที่ต้องยอมใจคืองานแสดง Cynthia Erivo กับ Ariana Grande คือแบกหนังไว้บนบ่าแบบแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะ Ariana ที่ภาคนี้ต้องเล่นบท Glinda ในเวอร์ชันที่ “โตขึ้น” และ “เจ็บปวดขึ้น” ภายใต้รอยยิ้มพลาสติกนั่น ผมว่าเราน่าจะได้เห็นซีนระเบิดอารมณ์ที่ทำให้คนดูอึ้งแน่ๆ ส่วนงานภาพ ไม่ต้องพูดเยอะ Jon M. Chu แกถนัดเรื่องความอลังการอยู่แล้ว ยิ่งฉาก Emerald City หรือฉากสงครามเวทมนตร์ รับรองว่าคุ้มค่าตั๋วที่จะไปเสพความสวยงามแบบเต็มเรื่องในโรงภาพยนตร์แน่นอนครับ

เจาะลึกเกร็ดเบื้องหลัง Wicked: For Good ที่คนทั่วไปไม่รู้ (แต่เราต้องรู้!)
มาถึงพาร์ทที่ผมชอบที่สุด คือการขุดคุ้ยเบื้องหลังมาเล่าให้ฟัง แอบไปทำการบ้านมา มีหลายเรื่องที่ “ว้าว” มากๆ
- งบประมาณระดับ Blockbuster และการเดิมพันที่สูงลิ่ว: รู้ไหมครับว่าโปรเจกต์นี้ใช้งบสร้างรวม 2 ภาคไปกว่า 300 ล้านดอลลาร์! (เฉพาะภาค For Good นี่ปาไปราวๆ 150 ล้าน) คือ Universal เขา “All-in” มากๆ ไม่ใช่แค่สร้างฉากในสตูฯ นะครับ แต่เขาสร้างเมือง Munchkinland ขึ้นมาจริงๆ ปลูกทุ่งดอกทิวลิปกันจริงๆ ถึง 9 ล้านดอก! คือบ้าไปแล้ว ใครที่ชอบงาน Craft งานสร้างจริงเจ็บจริง เรื่องนี้คือที่สุด
- วิบากกรรม “The Strike”: หนังเรื่องนี้เกือบถ่ายไม่จบนะครับ! ช่วงกลางปี 2023 กองถ่ายต้องหยุดชะงักไปหลายเดือนเพราะการประท้วงของ SAG-AFTRA (สหภาพนักแสดง) ลองนึกสภาพอารมณ์นักแสดงที่กำลังบิ้วท์ดราม่ามาเต็มกราฟ แล้วต้องเบรกเอี๊ยด… พอกลับมาถ่ายใหม่ปี 2024 ทีมงานต้องจูนอารมณ์กันใหม่หมด ถือเป็นความท้าทายระดับโหดหินที่พิสูจน์ฝีมือทีมงานสุดๆ
- Tin Man ที่คุณเห็น… ไม่ใช่ CGI ล้วนนะจ๊ะ: ภาคนี้เราจะได้เห็นที่มาของ “หุ่นกระป๋อง” หรือ Tin Man ชัดเจนขึ้น ซึ่งเบื้องหลังคือนักแสดงต้องทนทรมานกับการแต่งหน้าเอฟเฟกต์ (Prosthetic) นานถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน! ทีมงานพยายามใช้ Practical Effect ให้มากที่สุดเพื่อให้ได้ Texture ของโลหะจริงๆ ผสมกับ CGI แค่บางส่วน เพื่อคารวะดีไซน์ต้นฉบับปี 1939 ใครดูแล้วสังเกตดีๆ นะครับ งานละเอียดมาก
- ทำไมต้องแบ่ง 2 ภาค? (คำตอบจากผู้กำกับ): Jon M. Chu เคยให้สัมภาษณ์แบบเปิดอกเลยว่า เหตุผลจริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเพราะเพลง “Defying Gravity” (เพลงจบภาคแรก) มันถูกออกแบบมาให้เป็น “Curtain Call” หรือจุดพักครึ่งที่พีคที่สุด ถ้าขืนเล่าต่อเลยโดยไม่พัก อารมณ์คนดูจะพังทันที แกเลยเลือกที่จะขยาย Act 2 ให้กลายเป็นหนังเต็มเรื่อง แล้วเพิ่มเพลงใหม่เข้าไปแทน เพื่อให้ตัวละครได้หายใจหายคอครับ
FAQ: คำถามคาใจก่อนไปดู Wicked: For Good
Q: ไม่เคยดูภาคแรก (Wicked 2024) ดูภาคนี้รู้เรื่องไหม?
A: “ไม่ได้เด็ดขาด” ครับ! นี่คือหนังภาคต่อที่เนื้อหาต่อกันแบบวินาทีต่อวินาที ถ้าคุณข้ามมาดู For Good เลย คุณจะงงกับความสัมพันธ์ของ Elphaba กับ Glinda จนไม่อินแน่นอน แนะนำให้ไปหาภาคแรกมาดูเก็บรายละเอียดก่อนครับ
Q: เหมาะกับพาเด็กไปดูไหม?
A: ถึงหนังจะได้เรต PG แต่ผู้ปกครองต้องทำการบ้านหน่อยนะครับ ภาคนี้โทนหนังจะ “มืดหม่น” กว่าภาคแรก มีฉากข่มขู่ การล่าแม่มด และบรรยากาศที่ตึงเครียด ถ้าเด็กเล็กมากๆ อาจจะกลัวได้ แต่ถ้าเด็กโตหน่อยที่เข้าใจเรื่องความดีความชั่ว ผมว่านี่คือบทเรียนชั้นดีเลย
Q: มี End Credit ไหม?
A: จากข้อมูลรอบฉายเมืองนอก ยืนยันตรงกันว่า “ไม่มี” ครับ หนังจบสมบูรณ์ในตัว (แต่เพลง End Credit เพราะมากนะ นั่งฟังเพลินๆ ได้)
Q: จะมีภาค 3 อีกไหม?
A: ไม่มีแล้วครับ นี่คือบทสรุป (Finale) ของตำนาน Wicked แล้ว จบแบบบริบูรณ์ปิดจ็อบสวยๆ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หวังว่าเพื่อนๆ คงจะพอเห็นภาพนะครับว่าทำไม Wicked: For Good ถึงเป็นหนังที่น่าจับตามองที่สุดในช่วงปลายปี 2025 สำหรับผม มันไม่ใช่แค่หนังเพลง แต่มันคืองานศิลปะที่สะท้อนสังคมผ่านโลกแฟนตาซีได้เจ็บแสบสุดๆ ใครที่มีแพลนจะไปดูหนังเรื่องนี้ แนะนำให้จองระบบเสียงดีๆ ภาพใหญ่ๆ จะได้อรรถรสแบบเต็มเรื่องสมกับที่รอคอย
ใครมีความคิดเห็นยังไง หรืออยากมาเม้าท์มอยเรื่องทฤษฎี Wizard of Oz เพิ่มเติม แวะมาคุยกันต่อได้ที่ onlygroub.com นะครับ เรามีห้องคุยสำหรับคอหนังตัวจริงรออยู่เพียบ! แล้วเจอกันในโรงครับ!
สิ่งที่ยกระดับภาคนี้ให้เหนือชั้นกว่าภาคแรก คือการเปลี่ยนโทนจากแฟนตาซีชวนฝันสู่ “ดราม่าการเมือง” ที่เข้มข้นและสมจริง ผู้กำกับ Jon M. Chu กล้าที่จะเล่าเรื่องราวการกดขี่ การโฆษณาชวนเชื่อ และราคาที่ต้องจ่ายของอำนาจ ผ่านงานสร้างที่เน้นความสมจริงด้วยฉาก Practical Effects มหึมา ทั้งเมือง Munchkinland และถนนอิฐสีเหลืองที่สร้างขึ้นจริง ไม่ใช่แค่ CGI ลอยๆ ซึ่งช่วยส่งอารมณ์ให้นักแสดงถ่ายทอดความเจ็บปวดออกมาได้อย่างทรงพลัง
นอกจากนี้ เคมีระหว่าง Cynthia Erivo และ Ariana Grande ในภาคนี้ก้าวข้ามคำว่า “เพื่อนรัก” ไปสู่ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและน่าเห็นใจ การได้เห็น Glinda ต้องฝืนยิ้มทั้งน้ำตาในขณะที่ Elphaba ต้องยอมรับชะตากรรมอันโหดร้าย คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Wicked: For Good เป็นงาน Masterpiece ที่ไม่ได้ขายแค่เพลงเพราะ แต่ขาย “จิตวิญญาณ” ของตัวละครที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ออกมาได้อย่างหมดจด คุ้มค่าแก่การไปเสพงานศิลป์ชิ้นนี้ในโรงภาพยนตร์