ลืมภาพฮีโร่เกราะเงาวับหรือเทพเจ้าผู้ผดุงความยุติธรรมแบบ Avengers ไปได้เลย เพราะจักรวาล MCU กำลังจะปิดฉากเฟส 5 ด้วยความ “ดาร์ก” และ “ดิบ” ที่สุดเท่าที่เคยมีมากับ Thunderbolts* นี่ไม่ใช่แค่การจับเอาตัวร้ายมารวมกลุ่มกันเท่ๆ แต่มันคือการรวมตัวของ “คนพังๆ” ที่มีแผลในใจ ทั้งวายร้ายกลับใจ ทหารผ่านศึกตกอับ และนักฆ่าที่โหยหาที่ยืน ทั้งหมดถูกจับยัดใส่ภารกิจฆ่าตัวตายภายใต้การชักใยของหญิงแกร่งจอมบงการ เตรียมใจไว้เลยว่าการ ดูหนัง Thunderbolts* ครั้งนี้ รสชาติจะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ก่อนจะไปพิสูจน์ความเดือดแบบ เต็มเรื่อง ในโรงภาพยนตร์ 2 พฤษภาคม 2025 นี้ เราจะพาไปเจาะลึกทุกประเด็นที่ต้องรู้
เจาะลึกเรื่องย่อ Thunderbolts*: เมื่อคนบาปต้องมากู้โลก (แบบจำใจ)
ความน่าสนใจของบทหนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ “พวกเขาจะสู้กับใคร” แต่อยู่ที่ “พวกเขาจะอยู่ร่วมกันได้ยังไง” พล็อตเรื่องหลักว่าด้วยการรวมทีมของกลุ่มคนที่สังคมตราหน้าว่าเป็นอาชญากร หรืออย่างดีที่สุดก็คือ “ฮีโร่ตกกระป๋อง” ภายใต้การนำของ วาเลนตินา อัลเลกรา เดอ ฟงแตน (Valentina Allegra de Fontaine) ผู้อำนวยการ CIA ที่มีความทะเยอทะยานสูงเสียดฟ้า สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าจับตามองคือ Dynamic ของความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยว
ต่างจาก Avengers ที่รวมตัวกันด้วยอุดมการณ์ Thunderbolts รวมตัวกันด้วย “ผลประโยชน์” และ “การถูกบีบบังคับ” สมาชิกในทีมอย่าง Yelena Belova น้องสาว Black Widow ที่ยังจมอยู่กับความสูญเสีย, Bucky Barnes ที่พยายามล้างภาพ Winter Soldier, หรือ U.S. Agent ที่ล้มเหลวจากการเป็นกัปตันอเมริกา ทั้งหมดล้วนมี “ชะตากรรมร่วม” คือความโดดเดี่ยว นี่ไม่ใช่ทีมฮีโร่ แต่เป็นกลุ่มบำบัดจิตที่มีอาวุธครบมือ
จุดที่ยกระดับความน่าสนใจคือการตีความใหม่จากคอมิกส์ เดิมทีในคอมิกส์ทีมนี้คือวายร้ายที่ “ปลอมตัว” มาเป็นฮีโร่เพื่อหลอกประชาชน แต่ในเวอร์ชันหนัง Marvel เลือกที่จะเล่นกับประเด็น “การไถ่บาป” (Redemption) และการต่อสู้กับ “ด้านมืดของตัวเอง” แทน ศัตรูที่แท้จริงอาจไม่ใช่กองทัพเอเลี่ยน แต่เป็น Sentry (หรือ Bob) ชายหนุ่มความจำเสื่อมที่มีพลังระดับระเบิดดวงอาทิตย์ ซึ่งอาจเป็นทั้งกุญแจสำคัญและภัยคุกคามที่ใหญ่หลวงที่สุดของทีม
เบื้องหลังความเดือด: จากทีมสร้าง Beef สู่โปรเจกต์ลับของ Scarlett Johansson
งานนี้ Marvel Studios ไม่ได้มาเล่นๆ เพราะดึงเอามือดีจากซีรีส์ระดับรางวัลมาคุมบังเหียน เจค ชไรเออร์ (Jake Schreier) ผู้กำกับจากซีรีส์หัวร้อนอย่าง Beef มานั่งแท่นกำกับ แถมยังได้ทีมเขียนบทจาก The Bear มาช่วยตบแต่งบทสนทนา รับประกันได้ว่าเราจะได้เห็นซีนดราม่าที่เชือดเฉือน และตลกร้ายที่แสบสัน ยิ่งกว่าหนัง Marvel เรื่องไหนๆ
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่คอหนังต้องรู้คือชื่อของ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน (Scarlett Johansson) ในฐานะผู้อำนวยการสร้างบริหาร (Executive Producer) นี่คือการการันตีว่ามรดกของ Black Widow จะถูกสานต่ออย่างสมศักดิ์ศรี ผ่านตัวละคร Yelena และ Red Guardian การมีส่วนร่วมของเธอน่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มิติของตัวละครกลุ่มนี้มีความลึกซึ้งและต่อเนื่องจากเฟส 4 อย่างไร้รอยต่อ
แม้กองถ่ายจะเจอวิบากกรรมทั้งการประท้วงหยุดงานจนต้องเลื่อนฉาย และการเปลี่ยนตัวนักแสดงสำคัญ (Steven Yeun ถอนตัว บท Sentry จึงตกเป็นของ Lewis Pullman) แต่สิ่งเหล่านี้กลับทำให้ทีมงานต้องขัดเกลาบทให้คมคายยิ่งขึ้น มีเกร็ดเบื้องหลังที่น่าทึ่งคือ Florence Pugh ยืนกรานขอเล่นฉากสตันท์กระโดดจากตึก Merdeka 118 ที่มาเลเซียด้วยตัวเอง สะท้อนให้เห็นว่านักแสดงทุ่มเทให้กับบทบาทนี้แค่ไหน เพื่อให้คนดูได้สัมผัสความสมจริงที่สุด
บทสรุป: ทำไม Thunderbolts* ถึงเป็นหนังปิดเฟส 5 ที่ห้ามพลาด
Thunderbolts* ไม่ใช่แค่หนังคั่นเวลา แต่มันคือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะเชื่อมโยงเรื่องราวการเมืองโลกใน MCU เข้าสู่สงครามครั้งใหม่ มันคือบทพิสูจน์ว่าในโลกที่ไม่มี Avengers ใครจะก้าวขึ้นมาดูแลความสงบ และ “ความยุติธรรม” ในนิยามสีเทาๆ นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เครื่องหมายดอกจัน (*) ท้ายชื่อเรื่องยังคงเป็นปริศนาที่รอการเฉลยว่าแท้จริงแล้ว สถานะของพวกเขาคืออะไรกันแน่
นี่คือหนังที่รวมรสชาติของแอ็กชันดิบเถื่อน ดราม่าครอบครัวที่แตกสลาย และตลกร้ายสไตล์ Suicide Squad ในฉบับที่มีหัวใจ หากคุณเบื่อฮีโร่ที่สมบูรณ์แบบ นี่คือทีมของคุณ เตรียมตัวไป ดูหนัง Thunderbolts* และไขปริศนาไปพร้อมกันแบบ เต็มเรื่อง ในโรงภาพยนตร์
สิ่งที่ทำให้ Thunderbolts* น่าสนใจกว่าหนังรวมทีมทั่วไป ไม่ใช่แค่ฉากแอ็กชันวินาศสันตะโร แต่คือการที่มันกล้าตั้งคำถามใส่หน้าคนดูว่า “โลกยังต้องการ Avengers แบบเดิมอยู่ไหม?” การใส่เครื่องหมายดอกจัน (*) ท้ายชื่อเรื่องที่แฟนหนังถกเถียงกันมาตลอด แท้จริงแล้วมันคือสัญลักษณ์ของ “ความไม่สมบูรณ์แบบ” ที่ Marvel ต้องการนำเสนอในเฟส 5 นี้ เรากำลังก้าวข้ามยุคของเทพเจ้าและมหาเศรษฐีอัจฉริยะ มาสู่ยุคของ “คนพังๆ” ที่พยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง ภายใต้ชื่อทีมที่อาจจะเปลี่ยนไปเป็น “New Avengers” ในความรู้สึกของคนดู (หรือแม้แต่ในบทสรุปของหนังเอง) การเปลี่ยนผ่านนี้สะท้อนให้เห็นว่า ฮีโร่ในยุคปัจจุบันไม่จำเป็นต้องขาวสะอาด แต่ต้อง “เข้าใจความเจ็บปวด” ของมนุษย์จริงๆ ซึ่งทีมนี้ตอบโจทย์นั้นได้อย่างเจ็บแสบที่สุด
อีกหนึ่งจุดที่ต้องพูดถึงคือการวางคาแรกเตอร์ของ Sentry (หรือ Bob) ให้เป็นทั้งขั้วตรงข้ามและกระจกสะท้อนของทีม ในขณะที่สมาชิก Thunderbolts พยายามหนีจากอดีตที่เลวร้าย Sentry กลับเป็นตัวแทนของ “พลังอำนาจที่ไร้ขีดจำกัดแต่เปราะบางทางจิตใจ” การนำเสนอตัวละครที่มีปัญหาสุขภาพจิต (Mental Struggle) ในสเกลพลังระดับทำลายโลก คือการเดิมพันที่ชาญฉลาดของผู้กำกับ Jake Schreier มันเปลี่ยนหนังซูเปอร์ฮีโร่ให้กลายเป็น Psychological Drama ที่ตั้งคำถามว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่” จะมีความหมายอะไร ถ้าจิตใจข้างในยังแตกสลาย? นี่คือ Layer ที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีความเป็นมนุษย์ (Human-Centric) สูงที่สุดเรื่องหนึ่งในจักรวาล MCU
สุดท้ายแล้ว Thunderbolts* ทำหน้าที่เป็นบทสรุปของเฟส 5 ได้อย่างงดงามด้วยการ Deconstruct (รื้อสร้าง) โครงสร้างทีมฮีโร่แบบเดิมๆ ทิ้งไป เราไม่ได้เห็นความสามัคคีเพราะ “อุดมการณ์” แต่เราเห็นการจับมือกันเพราะ “ความโดดเดี่ยว” มันคือเรื่องราวของ Found Family (ครอบครัวที่เลือกเอง) ของคนที่สังคมไม่ต้องการ ซึ่งแก่นเรื่องนี้ทรงพลังกว่าการสู้กับวายร้ายต่างดาวเป็นไหนๆ เพราะมันบอกเราว่า ต่อให้คุณจะเคยพังมาแค่ไหน หรือมีอดีตที่ดำมืดเพียงใด คุณก็ยังมีโอกาสที่จะเป็น “ฮีโร่” ในแบบของคุณเองได้เสมอ และนั่นอาจเป็นความหมายที่แท้จริงของเครื่องหมายดอกจันที่ Marvel ฝากไว้ให้เราคิดต่อ