มือปืน
| ผู้กำกับ | พุฒิพงษ์ นาคทอง |
|---|---|
| นักแสดงนำ |
|
| ประเภท | |
| เข้าฉาย | 27 พฤศจิกายน 2025 |
เรื่องย่อ
ถ้าคุณเดินเข้าโรงหนังโดยคาดหวังว่าจะได้เห็น “4 Kings เวอร์ชั่นอัปเกรดอาวุธ” ที่ยิงกันหูดับตับไหม้ ผมบอกเลยว่าคุณกำลังจะ โดนหนังหลอกเข้าเต็มเปา เพราะสิ่งที่ พุฒิพงษ์ นาคทอง มอบให้เราในรอบนี้ ไม่ใช่ความมันส์สะใจของวัยรุ่นตีกัน แต่คือความเงียบงันที่โคตรจะเสียงดังของโลกอาชญากรรม
ความรู้สึกแรกหลัง End Credit ขึ้น คือความหน่วงที่เกาะกินใจ มันไม่ใช่หนังที่ดูจบแล้วอยากจะไปตะโกนเชียร์ใคร แต่มันทำให้เราตั้งคำถามกับ “ราคา” ของชีวิตคนคนหนึ่งว่า สุดท้ายแล้วเราเลือกทางเดินเองได้จริงไหม หรือเราเป็นแค่หมากในกระดานของผู้มีอำนาจ
รีวิวเนื้อเรื่อง มือปืน: เมื่อวงจรอุบาทว์โหดร้ายกว่าลูกกระสุน
ลืมภาพจำหนังมือปืนยุคเก่าที่ตัวเอกเท่ระเบิดระเบ้อไปได้เลย เพราะ “เพชร” (แหลม 25hours) คือภาพสะท้อนของ มนุษย์ที่แตกสลาย เขาไม่ได้อยากจับปืนเพื่อความเท่ แต่อยากวางมันลงเพื่อไปใช้ชีวิตปกติกับ “ทราย” (ฟ้า ษริกา) แต่คำว่า “บุญคุณ” และ “ความแค้น” มันเหมือนโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น ดึงเขากลับมาจมปลักในโคลนตมเดิมๆ
บทหนังฉลาดมากที่ไม่ได้เล่าแค่ว่าใครยิงใคร แต่ขยี้ประเด็นชนชั้นอำนาจผ่านตัวละครของ “พี่นก ฉัตรชัย” ที่ทำให้เราเห็นโครงสร้างอันน่าขยะแขยง คำถามที่หนังโยนใส่หน้าคนดูจังๆ คือ “ใครร้ายกว่ากันแน่?” ระหว่างมือปืนที่ลั่นไกตามคำสั่ง กับคนใส่สูทผูกไทที่บงการอยู่เบื้องหลังโดยมือไม่เปื้อนเลือด
ความสัมพันธ์ในเรื่องคือจุดแข็งที่ต้องชม โดยเฉพาะเคมีของ “แก๊งเด็กเกเร” (เฟย, เบน, เต) ที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง มันมีความเป็นธรรมชาติแบบเพื่อนตายที่มองตาก็รู้ใจ ทำให้พาร์ทดราม่าของเรื่องนี้ ทำงานกับความรู้สึกคนดูได้รุนแรง ยิ่งกว่าฉากแอ็กชันเสียอีก
เจาะเบื้องหลัง The Last Shot: แหลม 25hours กับการกลั้นหายใจแบบมืออาชีพ
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ “เรียล” จนน่าขนลุก คือการที่ผู้กำกับพุฒิพงษ์ ไม่ได้แค่นั่งเทียนเขียนบท แต่ลงพื้นที่ไป กินนอนกับอดีตมือปืนตัวจริง ที่เพชรบุรี เขาไปศึกษาวิธีการหายใจ วิธีการเดิน และแววตาของคนที่ต้องระวังหลังตลอดชีวิต แล้วเอาดีเทลพวกนั้นมาใส่ในตัวละคร
ต้องปรบมือให้ แหลม สมพล ที่สลัดคราบร็อกสตาร์ทิ้งไม่เหลือซาก เขาไม่ได้เล่นใหญ่รัชดาลัย แต่ใช้ “สายตา” เล่าเรื่องแทนคำพูด ความนิ่งของเขาคือความน่ากลัวที่จับต้องได้ ทุกจังหวะการจับปืนหรือเดินเข้าพื้นที่เสี่ยง มันดูเป็นมืออาชีพที่ผ่านความเป็นความตายมาแล้วจริงๆ ไม่ใช่แค่ท่าโพสสวยๆ

งานภาพเรื่องนี้คือ MVP อีกตำแหน่ง โทนภาพสไตล์ Vintage ดิบๆ เล่นกับแสงเงา ทำให้บรรยากาศเมืองเพชรฯ ดูสวยแต่ซ่อนความอำมหิต ยิ่งผสมกับดนตรีประกอบที่บีบหัวใจ มันยิ่งขับเน้นความรู้สึก “ไม่มีที่ยืน” ของตัวละครชายขอบสังคมได้อย่างงดงาม
ข้อสังเกตก่อนตีตั๋ว: มือปืน ไม่ใช่หนังแอ็กชันล้างผลาญสำหรับทุกคน
บอกกันตรงๆ เพื่อความแฟร์ ใครที่หวังจะเข้าไปดูฉากบู๊ระห่ำแบบ John Wick หรือหนังระเบิดภูเขาเผากระท่อม คุณอาจจะ รู้สึกอึดอัดจนอยากหลับ เพราะหนังเดินเรื่องด้วยดราม่าเป็นหลัก เน้นบรรยากาศความกดดัน มากกว่าความสะใจของเสียงปืน
จังหวะการเล่าเรื่องมีความเป็น “Slow Burn” ค่อยๆ ไต่ระดับความเครียด ซึ่งอาจจะไม่ถูกจริตคนชอบความรวดเร็วฉับไว และความหม่นหมองของเนื้อหาอาจทำให้คนที่จิตใจเปราะบาง รู้สึกดิ่งได้ง่ายๆ เพราะมันไม่มีพื้นที่ให้ความโลกสวยเลยแม้แต่นิดเดียว
บทสรุป มือปืน (The Last Shot) คุ้มค่าตั๋วไหม?
นี่คือหนังไทยฟอร์มดีส่งท้ายปีที่ผมกล้าเชียร์ให้ไปดูในโรง เพราะงานภาพและงานเสียง (Sound Design) ถูกออกแบบมาเพื่อประสบการณ์ Cinematic ที่สมบูรณ์แบบ มันอาจไม่ใช่หนังที่ดูแล้วมีความสุข แต่มันคือ หนังที่ดูแล้ว “รู้สึก” และจะติดอยู่ในหัวคุณไปอีกหลายวัน
ถ้าคุณคิดว่าการดูหนังมือปืนคือการเข้าไปเสพความสะใจของฉากยิงกันสนั่นหวั่นไหว ผมอยากให้ ปรับจูนความคาดหวังใหม่ ก่อนเดินเข้าโรง เพราะ The Last Shot ไม่ได้ขายความมันส์แบบฉาบฉวย แต่มันขาย “บรรยากาศ” ของความตายที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ พุฒิพงษ์ นาคทอง (ผู้กำกับ) พาเราก้าวข้ามจากวัยรุ่นตีกันใน 4 Kings มาสู่โลกของผู้ใหญ่ที่เดิมพันสูงกว่า เจ็บกว่า และไม่มีโอกาสแก้ตัว
รีวิวเนื้อหา: เมื่อสังคมบีบให้คนเป็นปีศาจ
บทหนังเรื่องนี้ไม่ได้แบนราบแค่พระเอกไปแก้แค้น แต่มันมีความลึกในเชิงโครงสร้างสังคม หนังฉายภาพให้เห็นว่า “มือปืน” อาจเป็นแค่ปลายเหตุของปัญหา โดยมีตัวละครของ นก ฉัตรชัย เป็นตัวแทนของอำนาจมืดที่คอยชักใย สิ่งที่น่าสนใจคือการตั้งคำถามศีลธรรมที่ไม่มีคำตอบตายตัว เราจะได้เห็นวงจรที่คนตัวเล็กๆ ถูกระบบบีบให้จนตรอก จนต้องเลือกเส้นทางที่ตัวเองก็รังเกียจ
เคมีของนักแสดงคือหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะการกลับมารวมตัวของแก๊ง 4 Kings (เฟย, เบน, เต) ที่รอบนี้มาในมาดที่นิ่งขึ้น ดุขึ้น ความสัมพันธ์ของตัวละครเหล่านี้ดู “จริง” จนเราเชื่อว่าพวกเขากินนอนและผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาจริงๆ ไม่ใช่แค่การแสดงตามบทบาท
เบื้องหลังความเรียล: แหลม 25hours กับการกลายร่าง
ไฮไลต์ที่ต้องพูดถึงคือการแสดงของ แหลม สมพล ที่สลัดคราบนักร้องทิ้งไปจนหมดสิ้น จากข้อมูลเบื้องหลัง เขาและผู้กำกับถึงขั้นไปกินนอนกับอดีตมือปืนตัวจริงเพื่อซึมซับ “วิธีการหายใจ” และสัญชาตญาณระวังภัย ซึ่งมันสะท้อนออกมาทางแววตาของเป้ในเรื่องได้อย่างน่าขนลุก
แหลมไม่ได้เล่นด้วยคำพูดเยอะแยะ แต่ใช้ ความเงียบและการกระทำ สื่อสารความเจ็บปวดภายใน ท่าทางการจับปืน การเดิน หรือแม้แต่การนั่งเหม่อลอย มันดูเป็นธรรมชาติของคนที่แบกความรู้สึกผิดไว้เต็มบ่า นี่คือการแสดงระดับมาสเตอร์พีซที่พิสูจน์ว่าเขาคือนักแสดงคุณภาพคนหนึ่งของวงการ
ข้อสังเกตก่อนดู: ความหน่วงที่ไม่ประนีประนอม
ด้วยความที่หนังเลือกเล่าเรื่องแบบเน้นอารมณ์ดราม่าและงานภาพศิลป์ๆ (Cinematic) จังหวะของหนังจึงมีความหนืดและเนิบนาบในบางช่วง (Slow Burn) เพื่อบิ้วท์อารมณ์กดดัน ใครที่เป็นสายเสพความบันเทิงแบบ Fast-paced หรือชอบฉากแอ็กชันรัวๆ อาจจะรู้สึก อึดอัดหรือเบื่อได้
นอกจากนี้ โทนหนังมีความหม่นหมองรุนแรง ไม่มีมุกตลกมาเบรกอารมณ์ มันคือโศกนาฏกรรมที่พาคนดูดิ่งลงไปเรื่อยๆ จนจบเรื่อง ใครที่สภาพจิตใจไม่พร้อมรับความเครียด อาจจะต้องเตรียมใจไปสักนิดครับ
บทสรุป: ก้าวใหม่ที่กล้าหาญของหนังไทย
มือปืน / The Last Shot อาจไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่มันคือหนังที่มี “ลายเซ็น” ชัดเจนและกล้าที่จะแตกต่าง มันยกระดับมาตรฐานงานสร้าง (Production Value) และการกำกับศิลป์ของหนังไทยไปอีกขั้น ถ้าคุณอยากสนับสนุนหนังไทยที่ใส่ใจในรายละเอียดและกล้าเล่าเรื่องยากๆ นี่คือตั๋วหนังที่คุณไม่ควรเสียดายเงิน