...
โปสเตอร์หนัง อนงค์ สอง..สามสี่ชาติ
7.3 / 10

อนงค์ สอง..สามสี่ชาติ

ผู้กำกับ คมกฤษ ตรีวิมล
นักแสดงนำ
  • คมกฤษ ตรีวิมล
  • เมลดา สุศรี
  • สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร
ประเภท
เข้าฉาย

เรื่องย่อ

เรื่องราวใน อนงค์ 2 ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความรักข้ามรุ่นระหว่างคนกับผีในบ้านเก่าอีกต่อไป แต่ขยายสเกลสู่การเดินทางข้ามกาลเวลา เมื่อ "โจ" (จี๋ สุทธิรักษ์) ได้รับโอกาสจากชายปริศนาให้ย้อนกลับไปแก้ไขและรับรู้เรื่องราวในอดีตชาติของเขากับ "อนงค์" (โบว์ เมลดา) เพื่อค้นหาคำตอบว่าทำไมรักของพวกเขาถึงมีอุปสรรคเสมอ การเดินทางครั้งนี้พาผู้ชมทะลุมิติไปไกลถึง 3 ยุคสมัย ตั้งแต่ยุคกรุงศรีอยุธยาที่อนงค์ต้องจับดาบเป็นนักรบหญิงผู้เด็ดเดี่ยว, ยุคที่ต้องสืบสวนคดี "ผีปอบ" สุดระทึกขวัญในภาคอีสาน, ไปจนถึงยุคที่คุณหญิงอนงค์รอคอยรักแท้อย่างเจ็บปวด ทุกภพชาติคือจิ๊กซอว์ที่ค่อยๆ เผยความจริงอันน่าตกตะลึงเกี่ยวกับ "สาเหตุการตาย" ของอนงค์ในภาคแรก ซึ่งจะเปลี่ยนความรู้สึกของโจ (และคนดู) ไปตลอดกาล

หลังจากภาคแรกสร้างปรากฏการณ์กวาดรายได้ทะลุ 150 ล้านบาท กลายเป็นหนังไทยเรื่องที่ 4 ของปีที่ทำเงินระดับร้อยล้านเพียงแค่ 3 สัปดาห์ การกลับมาของ “อนงค์ สอง..สามสี่ชาติ” จึงไม่ใช่แค่หนังภาคต่อธรรมดา แต่เป็นการเดิมพันครั้งใหม่ของผู้กำกับมือเก๋าอย่าง เอส – คมกฤษ ตรีวิมล ที่หายหน้าไปกว่า 17 ปี (แฟนฉัน, เพื่อนสนิท) การกลับมาครั้งนี้เขาไม่ได้พาเราไปแค่บ้านผีสิง แต่พาคนดูเดินทางไกลไปถึง “มัลติเวิร์ส” ข้ามภพชาติ สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะไป ดูหนัง เรื่องนี้ หรือมองหาข้อมูลแบบ เต็มเรื่อง (ในแง่ข้อมูลเจาะลึก) นี่คือสิ่งที่ต้องรู้ก่อนตีตั๋วเข้าโรง

จากหนังรักคนกับผี สู่มัลติเวิร์สข้ามเวลา

โจทย์หินที่สุดของการทำภาคต่อคือการ “ไม่ทำลายความประทับใจเดิม” แต่ต้อง “เติมเต็มสิ่งที่ค้างคา” ภาคนี้จึงฉีกขนบจาก Romantic Comedy ในบ้านผีสิง มาเป็นหนังรักย้อนเวลาแบบ Time Travel เต็มสูบ เรื่องราวเล่าถึง “โจ” (จี๋ สุทธิรักษ์) ที่ต้องเดินทางข้ามเวลาเพื่อไปแก้ไขอดีตและตามหาคำตอบว่าใครคือคนฆ่าอนงค์ในภาคแรก ซึ่งบทสรุปที่หนังมอบให้คือการเฉลยปมที่แฟนหนังสงสัยมาตลอดว่า โจรผู้สังหารอนงค์คือโจในอดีตชาติ นั่นเอง

เส้นเรื่องในภาคนี้แบ่งออกเป็น 3-4 ชาติภพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้แก่

  • ชาติแรก: อนงค์ในมาด “นักรบหญิง” ผู้เด็ดเดี่ยวที่ต้องจับดาบปกป้องหมู่บ้าน
  • ชาติสอง: การสืบสวนคดี “ผีปอบ” ที่ต้องใช้ภาษาอีสานและเมคอัพเอฟเฟกต์จัดเต็ม
  • ชาติสาม: อนงค์ในลุค “คุณหญิง” สุดสง่างาม

ความน่าสนใจคือหนังไม่ได้ขายแค่ความตลกโปกฮาเหมือนภาคแรก แต่เน้นหนักไปที่ ความโรแมนติกและดราม่า โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “สองดวงวิญญาณ สามความผูกพัน สี่การจากลา” ที่สะท้อนผ่านชื่อเรื่อง ทำให้รสชาติของภาคนี้มีความ “ขมปนหวาน” และลึกซึ้งกว่าเดิม

เบื้องหลังความทุ่มเทของ โบว์ เมลดา และโปรดักชัน 35 ล้าน

อนงค์ สอง..สามสี่ชาติ

ถ้าภาคแรกคือการแจ้งเกิดเคมีระเบิดระเบ้อ ภาคนี้คือเวทีโชว์ของ โบว์ เมลดา อย่างแท้จริง ข้อมูลเบื้องหลังระบุว่าเธอต้องรับบทหนักที่สุด เพราะต้องเล่นเป็นอนงค์ในหลายคาแรคเตอร์ ทั้งต้องฝึกคิวบู๊ฟันดาบ ฝึกพูดภาษาอีสาน และแต่งหน้าเอฟเฟกต์ผีปอบ ซึ่งกระแสตอบรับจากรอบสื่อและโซเชียลต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “โบว์ เมลดา เอาอยู่ทุกยุค” และความน่ารักของเธอคือสิ่งที่แบกหนังทั้งเรื่องไว้ได้

ในฝั่งงานสร้าง ภาคนี้ใช้ ทุนสร้างกว่า 35 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับหนังแนวนี้ เพราะต้องเนรมิตฉากย้อนยุคถึง 3 สมัย รวมถึงงาน CG และเทคนิคการถ่ายทำแบบสลับไทม์ไลน์ที่ต้องอาศัยความแม่นยำสูง ทางผู้กำกับ เอส คมกฤษ ยอมรับว่านี่คือ “หนังรักภาคต่อที่ทำยากที่สุด” เพราะต้องบาลานซ์ระหว่างความจิ้นที่แฟนคลับรอคอย กับเส้นเรื่องใหม่ที่ซับซ้อนขึ้น

เคมีของ จี๋ สุทธิรักษ์ กับโบว์ ยังคงทำงานได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะในพาร์ทดราม่าเรียกน้ำตา ซึ่งรีวิวจากหลายเสียงยืนยันว่า “เตรียมทิชชู่ไปได้เลย” แม้ความฮาแบบรั่วๆ อาจจะลดลงเมื่อเทียบกับภาคแรก แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความผูกพันของตัวละครที่แน่นแฟ้นและมีมิติความเป็นมนุษย์มากขึ้น

บทสรุปที่คนรัก “อนงค์” ไม่ควรพลาด

“อนงค์ สอง..สามสี่ชาติ” อาจไม่ใช่หนังตลกเบาสมอง 100% เหมือนภาคแรก แต่มันคือจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่จะทำให้เรื่องราวของ “โจและอนงค์” สมบูรณ์แบบ การได้เห็นที่มาที่ไปของกรรมและความรักข้ามภพชาติ ช่วยตอบคำถามที่ค้างคาใจและให้บทสรุปที่ทั้งอบอุ่นและหน่วงหัวใจไปพร้อมกัน หากคุณผูกพันกับตัวละครชุดนี้ นี่คือภาคต่อที่ทำหน้าที่ของมันได้อย่างซื่อสัตย์และคุ้มค่าแก่การตีตั๋วเข้าไปดู

สิ่งที่ทำให้ อนงค์ สอง..สามสี่ชาติ น่าสนใจกว่าหนังภาคต่อทั่วไป คือความกล้าของผู้กำกับ เอส คมกฤษ ที่ฉีกขนบหนังผีตลกโปกฮา (Horror Comedy) จากภาคแรก ให้กลายเป็นหนังรักโรแมนติก-แฟนตาซีที่มีความ “ลึก” ระดับจิตวิญญาณ หนังไม่ได้ขายแค่ความจิ้น แต่กำลังตั้งคำถามกับคนดูเรื่อง “พรหมลิขิต vs กฎแห่งกรรม” ผ่านคอนเซปต์ของมัลติเวิร์ส (Multiverse) แบบไทยๆ ที่เชื่อว่าการพบกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลพวงจากการกระทำในอดีต การที่หนังเฉลยว่า “โจรผู้ฆ่าอนงค์” อาจคือคนใกล้ตัวที่สุด เป็นจุดหักมุมที่ยกระดับบทหนังให้มีความเป็นมนุษย์และดราม่าที่จับใจ

ในแง่การแสดง ต้องยกนิ้วให้ โบว์ เมลดา ที่แบกหนังไว้บนบ่าได้อย่างสวยงาม การเล่นเป็น 4 คาแรคเตอร์ (รวมอนงค์ปัจจุบัน) ที่มีบุคลิก น้ำเสียง และแววตาต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะพาร์ท “อนงค์นักรบ” และ “ผีปอบ” ที่เธอทำให้เราเชื่อได้ว่านี่คือดวงวิญญาณดวงเดิมที่เวียนว่ายตายเกิดด้วยความรักและความเจ็บปวด เมื่อบวกกับงานสร้างโปรดักชันระดับ 35 ล้านบาท ที่เนรมิตฉากย้อนยุคได้สมจริง ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่พิสูจน์ว่าหนังรักไทยสามารถไปไกลกว่าแค่เรื่องจีบกันไปมา แต่สามารถเล่าเรื่องภพชาติให้ดูสนุกและอินเตอร์ได้

ภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง

Seraphinite AcceleratorOptimized by Seraphinite Accelerator
Turns on site high speed to be attractive for people and search engines.