หลังจากทิ้งให้เราค้างเติ่งอยู่บนหน้าผากับตอนจบของ Dead Reckoning Part One เมื่อปี 2023 ผมเชื่อว่าแฟนหนังทั่วโลกคงรู้สึกเหมือนกัน คือชีวิตมันเหมือนถูกแขวนไว้กลางอากาศ ไม่ต่างอะไรกับอีธาน ฮันท์ ที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนปีกเครื่องบินเลยทีเดียว การกลับมาของ Mission: Impossible – The Final Reckoning หรือในชื่อไทย “มิชชั่น อิมพอสซิเบิ้ล ปิดปฏิบัติการล่าพิกัดมรณะ” ครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่หนังภาคต่อ แต่มันคือวาระแห่งชาติที่คอหนังแอ็กชันต้อง ดูหนัง เรื่องนี้ให้ได้สักครั้งในชีวิต
ชื่อภาค “The Final Reckoning” หรือการชำระบัญชีครั้งสุดท้าย มันส่งกลิ่นอายของการจากลาและการสะสางปมแค้นที่สั่งสมมาตลอด 28 ปีของแฟรนไชส์ ยิ่งได้รู้ว่าความยาวของหนังภาคนี้ปาเข้าไปถึง 2 ชั่วโมง 49 นาที ซึ่งยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของซีรีส์นี้ ยิ่งการันตีได้เลยว่าเราจะได้เสพความมันส์และเนื้อหาแบบ เต็มเรื่อง กันจนลืมหายใจแน่นอน
ปฏิบัติการล่าพิกัดมรณะกับปมปริศนา The Entity
เรื่องราวในภาคนี้ขมวดปมเข้มข้นขึ้นเมื่ออีธาน ฮันท์ (ทอม ครูซ) ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับ The Entity เอไอสุดอันตรายที่ไร้รูปร่างแต่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ทีม IMF เคยเจอมา กุญแจสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่เรือดำน้ำรัสเซีย “Sevastopol” ที่ซ่อนความลับบางอย่างไว้ และกุญแจสองดอกที่อีธานได้มาอย่างยากลำบากในภาคที่แล้ว คือความหวังเดียวที่จะหยุดยั้งหายนะครั้งนี้
สิ่งที่น่าจับตามองไม่ใช่แค่การไล่ล่า แต่คือ “อดีต” ที่ตามมาหลอกหลอน การกลับมาของ เอไซ โมราเลส ในบท “เกเบรียล” ตัวร้ายที่มีความแค้นฝังลึกกับอีธาน รวมถึงการพูดถึงตัวละครลึกลับอย่าง “มารี” ทำให้เดาทางได้ว่า AI ตัวนี้อาจจะไม่ใช่แค่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ธรรมดา แต่อาจมีการฝังความทรงจำหรือบุคลิกของมนุษย์ลงไป ซึ่งนั่นทำให้ The Entity มีความซับซ้อนและน่ากลัวเกินกว่าที่ใครจะคาดเดา
นอกจากทีมเดิมที่เรารักอย่าง ไซมอน เพ็กก์, วิง เรมส์ และเฮย์ลีย์ แอตเวลล์ จะกลับมาครบทีมแล้ว ภาคนี้ยังเสริมทัพด้วยนักแสดงคุณภาพอย่าง ฮันนาห์ วัดดิงแฮม และ นิค ออฟเฟอร์แมน ในบทประธานคณะเสนาธิการร่วม ซึ่งผมแอบสังหรณ์ใจว่าบทบาทของฝั่งรัฐบาลในภาคนี้ อาจมีจุดหักมุมเรื่องการทรยศหักหลังที่สั่นสะเทือนวงการสายลับแน่นอน
เบื้องหลังความบ้าที่ทอม ครูซ เดิมพันด้วยชีวิต
ถ้าพูดถึง Mission: Impossible แล้วไม่พูดถึงสตันท์ที่เล่นจริง เจ็บจริง ก็คงเหมือนกินก๋วยเตี๋ยวไม่ปรุง ทอม ครูซ ในวัย 62 ปี ยังคงทำลายขีดจำกัดของมนุษย์ต่อไป โดยไฮไลต์สำคัญที่ทั่วโลกจับตามองคือฉากเครื่องบินไบเพลนยุค 1940 ที่บินเหนือเทือกเขาดราเคนสเบิร์กในแอฟริกาใต้ งานนี้พี่ทอมไม่ได้แค่เกาะเครื่องบินโชว์ แต่เขา บังคับเครื่องบินด้วยตัวเอง ที่ความเร็ว 120 ไมล์ต่อชั่วโมง!
อีกหนึ่งกระแสที่ฮือฮามากคือข่าวลือเรื่องฉากใต้น้ำ ที่คาดว่าอีธาน ฮันท์ อาจจะถูก ยิงออกจากท่อตอร์ปิโด ของเรือดำน้ำ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริง นี่จะเป็นสตันท์ใต้น้ำที่บ้าระห่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมา เจมส์ บอนด์อาจจะเคยทำอะไรคล้ายๆ กัน แต่ความต่างคือเรื่องนี้ทอม ครูซ เล่นเองโดยไม่ใช้สตันท์แมน ลองจินตนาการภาพการกลั้นหายใจถ่ายทำในฉากเรือดำน้ำที่กำลังจมลงสู่หุบเหวใต้ทะเลดูสิครับ แค่คิดก็อึดอัดแทนแล้ว
ความทุ่มเทระดับถวายหัวของทอม ครูซ และผู้กำกับคู่บุญอย่าง คริสโตเฟอร์ แม็คควอรี ทำให้ทุกฉากที่เราเห็นไม่ใช่แค่ CGI ลอยๆ แต่เป็น “ประสบการณ์” ที่จับต้องได้ ความสมจริงนี้แหละคือเสน่ห์ที่ทำให้เราอยากตีตั๋วเข้าไป ดูหนัง เรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ระบบที่ดีที่สุด เพื่อซึมซับความบ้าระห่ำนี้ให้ เต็มเรื่อง และเต็มตาที่สุด
บทส่งท้าย: ภารกิจนี้พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
ถึงแม้ชื่อเรื่องจะบอกว่าเป็น “Final Reckoning” แต่ส่วนตัวผมยังแอบหวังลึกๆ ว่าตราบใดที่พี่ทอมยังมีแรงวิ่ง นี่จะไม่ใช่จุดจบของแฟรนไชส์ แต่ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ภาคนี้คือหลักไมล์สำคัญที่พิสูจน์ว่าทำไม Mission: Impossible ถึงยืนหยัดเป็นราชันย์หนังแอ็กชันมาได้เกือบ 3 ทศวรรษ
ข่าวดีสุดๆ สำหรับแฟนชาวไทยคือ บ้านเราจะได้ดูเร็วกว่าอเมริกา! โดยหนังมีกำหนดฉาย 17 พฤษภาคมนี้ (สหรัฐฯ ฉาย 23 พ.ค.) ใครที่ไม่อยากโดนสปอยล์ฉากเด็ด หรือจุดจบของตัวละครสำคัญ แนะนำให้รีบจองตั๋วล่วงหน้าตั้งแต่วันแรก เพราะจากกระแสยอดจองในต่างประเทศที่ถล่มทลาย บอกเลยว่าที่นั่งดีๆ หายวับไปกับตาแน่นอนครับ
ที่มาของรูป Poster : https://www.reviewsgate.co.uk/all-reviews/mission-impossible-the-final-reckoning-2025-dir-christopher-mcquarrie-paramount-pictures
สิ่งที่ทำให้ The Final Reckoning แตกต่างจากหนังสายลับทั่วไป คือการยกระดับตัวร้ายให้เป็น “นามธรรม” ที่จับต้องไม่ได้ การวิเคราะห์เชิงลึกเผยให้เห็นว่า The Entity ไม่ใช่แค่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่อยากครองโลกแบบพล็อตหนังเกรดบี แต่มันคือกระจกสะท้อนความกลัวลึกๆ ของมนุษย์ในยุคดิจิทัล การที่มันสามารถคำนวณความเป็นไปได้ทุกรูปแบบ (Permutations) ทำให้อีธาน ฮันท์ ผู้ที่มักใช้ “สัญชาตญาณ” และ “การด้นสด” (Improvisation) เอาตัวรอดมาได้ตลอด ต้องมาเจอกับศัตรูที่ดักทางเขาได้ทุกฝีก้าว นี่คือการปะทะกันระหว่าง Analog Soul (อีธาน) กับ Digital God (The Entity) ที่น่าจับตามองที่สุด
อีกประเด็นที่มองข้ามไม่ได้คือการขุดปมเรื่อง “Podkova” หรือโมดูลลับที่เชื่อมโยงกับอดีตของอีธาน แฟนเดนตายหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าภาคนี้มีการคารวะ (Homage) ถึงภาคแรกและภาคสามอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะปมของ “Rabbit’s Foot” ที่เคยเป็นปริศนา อาจถูกนำมาตีความใหม่ในบริบทของเรือดำน้ำ Sevastopol นี้ การกลับมาของตัวละครจากอดีตและการเน้นย้ำเรื่อง “ผลกรรม” (Reckoning) ชี้ให้เห็นว่า บทสรุปครั้งนี้จะไม่ใช่แค่ฉากแอ็กชันระเบิดภูเขาเผากระท่อม แต่เป็นการสำรวจจิตวิญญาณของสายลับที่แบกรับชะตากรรมโลกไว้บนบ่ามายาวนานกว่า 30 ปี ว่าสุดท้ายแล้ว… ฮีโร่มีสิทธิ์ที่จะมีความสุขหรือไม่?