ยอมรับตรงๆ ว่าตอนภาค 2 จบ ผมยังแอบคิดนะว่า “ป๋าเจมส์ คาเมอรอน” แกจะพาเราไปไหนต่อ? จากป่าลงน้ำ แล้วทีนี้จะไปไหน? สรุปหวยออกที่ “ไฟ” ครับทุกคน และไม่ใช่ไฟธรรมดา แต่เป็นไฟแห่งความแค้นที่สุมอยู่ในอกของชาวนาวีด้วยกันเอง นี่คือสิ่งที่ทำให้ Avatar: Fire and Ash กลายเป็นหนังที่ผมกาปฏิทินรอแบบใจจดใจจ่อที่สุดในปี 2025 ไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นหนังฟอร์มยักษ์ แต่เพราะรอบนี้ “คนดี” อาจจะไม่ใช่ “คนดี” เสมอไป
หลังจากที่มีข่าวลือหนาหูเรื่องวันฉาย ตอนนี้คอนเฟิร์มแล้วว่า 17 ธันวาคมนี้ บ้านเราได้ดูกันแน่นอน ซึ่งช่วงสิ้นปีแบบนี้ ใครที่กำลังมองหาโปรแกรม ดูหนัง ข้ามปีกับครอบครัวหรือแฟน ผมบอกเลยว่าล็อกคิวเรื่องนี้ไว้ได้เลย เพราะกระแสจากงาน World Gala Premiere ที่เมืองนอกคือไฮป์กันจนปรอทแตก
เรื่องย่อ [Avatar: Fire and Ash] ฉบับคนวงใน
ครอบครัวซัลลีนี่ย้ายบ้านเก่งจริงๆ หลังจากหนีตายไปอยู่กับเผ่าทางน้ำในภาคที่แล้ว ภาคนี้ เจค และ เนย์ทิริ ต้องเจอกับบททดสอบที่หนักหนาสาหัสกว่าเดิม เมื่อภัยคุกคามไม่ได้มาจากแค่ “คนจากฟ้า” (มนุษย์) อย่างเดียวอีกต่อไป แต่มาจาก “คนกันเอง” บนดาวแพนดอร่า
ภาคนี้เราจะได้เจอกับชนเผ่าใหม่ที่เรียกว่า “Ash People” หรือเผ่าธุลีดิน ซึ่งนับถือธาตุไฟและมีความดุดัน ก้าวร้าว ผิดกับภาพลักษณ์ชาวนาวีผู้รักสงบที่เราเคยเห็น ประเด็นคือความขัดแย้งครั้งนี้มันจะสั่นคลอนความศรัทธาที่มีต่อ “เอวา” แบบถึงรากถึงโคน เหมือนป๋าเจมส์แกกำลังจะบอกเราว่า เหรียญมันมีสองด้านเสมอ แม้แต่ในโลกที่สวยงามอย่างแพนดอร่า ความมืดมนก็ซ่อนอยู่ทุกที่ งานนี้ครอบครัวซัลลีต้องเลือกระหว่างการปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไข หรือจะยอมแลกทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์
วิเคราะห์ความน่าดูของ [Avatar: Fire and Ash]
ทำไมต้องดู? นอกจากงานภาพที่สวยตะลึงแบบวัวตายความล้มแล้ว จุดขายจริงๆ ของภาคนี้คือ “มิติของตัวละคร” ครับ ภาคก่อนๆ เราเห็นชาวนาวีเป็นฝ่ายถูกกระทำ เป็นฮีโร่ผู้รักธรรมชาติ แต่รอบนี้คาเมอรอนแกฉีกขนบเดิมๆ ด้วยการโยน “ชาวนาวีตัวร้าย” เข้ามาในสมการ
ลองจินตนาการดูสิครับ ฉากสงครามที่มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟลาวาทะลัก ตัดกับผิวสีฟ้าของชาวนาวี มันจะเป็น Contrast ทางสายตาที่รุนแรงและสวยงามขนาดไหน ผมเชื่อว่าโรง IMAX และ 4DX ช่วงสิ้นปีแตกแน่นอน ใครที่กะจะไปซึมซับบรรยากาศแบบ เต็มเรื่อง ในโรงภาพยนตร์ แนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้าทันทีที่เปิดจอง เพราะนี่คืองาน Visual Masterpiece ที่ดูจอมือถือยังไงก็ไม่เหมือนดูในโรง
อีกเรื่องที่น่าจับตาคือ “พัฒนาการของลูกๆ” บ้านซัลลี โดยเฉพาะน้องคิรี กับ โลอัค ที่เริ่มมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ภาคนี้เราน่าจะได้เห็นของดีจากเด็กๆ กลุ่มนี้ที่อาจจะแย่งซีนรุ่นพ่อรุ่นแม่ได้เลย
เจาะลึกเกร็ดเบื้องหลัง [Avatar: Fire and Ash] ที่คนทั่วไปอาจไม่รู้
มาถึงพาร์ทที่ผมชอบที่สุด คือการขุดคุ้ยเบื้องหลังมาเล่าสู่กันฟัง เพราะโปรดักชันระดับพันล้านเหรียญนี้ มีดีเทลยุบยับไปหมด
- ทำไมต้องถ่ายทำแบบ Back-to-Back? หลายคนสงสัยว่าทำไมต้องรีบถ่ายภาค 2 กับ 3 ต่อเนื่องกันขนาดนั้น? เหตุผลหลักคือ “วัยของนักแสดงเด็ก” ครับ เจมส์ คาเมอรอน ไม่อยากเจอปัญหาแบบซีรีส์ Stranger Things ที่แป๊บๆ เด็กโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมด จนบทมันไม่ต่อเนื่อง แกเลยสั่งลุยถ่ายฉากของเด็กๆ ในภาค 3 และบางส่วนของภาค 4 ให้เสร็จตั้งแต่ตอนทำภาค The Way of Water เพื่อให้ไทม์ไลน์ในหนังมันสมูทที่สุด นี่คือความเนี๊ยบระดับพ่อมดฮอลลีวูดเขาทำกัน
- Performance Capture ที่เหนือชั้นกว่าเดิม อย่าเข้าใจผิดว่านี่คือการ์ตูนแอนิเมชันนะครับ! ทีมงานย้ำเสมอว่านี่คือ “Performance Capture” คือการเอานักแสดงจริงๆ มาเล่น ใส่ชุดรัดรูปติดเซนเซอร์ แล้วให้คอมพิวเตอร์จับทุกการขยับของกล้ามเนื้อ สีหน้า แววตา แล้วค่อยเอาไปครอบด้วยสกินชาวนาวี แซม เวิร์ธธิงตัน และ โซอี ซัลดานา ต้องทุ่มเทสุดๆ ทั้งการฝึกดำน้ำ (จากภาคก่อน) มาจนถึงภาคนี้ที่ต้องจินตนาการถึงความร้อนแรงของลาวาและสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายของเผ่าธุลีดิน การแสดงที่เราเห็นคือ “ของจริง” ที่ถูกถ่ายทอดผ่านเทคโนโลยีครับ
- การออกแบบวัฒนธรรม “Ash People” ทีมงานไม่ได้แค่ออกแบบตัวละครใหม่ให้ตัวแดงหรือใส่ชุดแปลกๆ แต่พวกเขาสร้าง “วัฒนธรรม” ขึ้นมาใหม่เลย ทั้งภาษาถิ่น พิธีกรรม และวิถีชีวิตที่ผูกพันกับภูเขาไฟ ข้อมูลเบื้องหลังระบุว่า คาเมอรอนต้องการสื่อถึง “ด้านมืดของธรรมชาติ” ผ่านเผ่านี้ เพื่อให้คนดูเห็นว่า แพนดอร่าก็มีความโหดร้ายและน่ากลัวไม่ต่างจากโลกมนุษย์ ใครที่รอไปเสพงานศิลป์และงานดีไซน์ชนเผ่าแบบ เต็มเรื่อง ไม่มีกั๊ก รับรองว่าคุ้มค่าตั๋ว
- End Credit ที่ห้ามลุก! สายข่าววงในกระซิบมาว่า ภาคนี้มี End Credit ที่ “พีค” มาก ไม่ใช่แค่ฉากแถมขำๆ แต่มันคือการปูทางไปสู่ภาค 4 ที่สเกลจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีก (ยังจะใหญ่อีกเหรอป๋า?) ดังนั้นใครไปดูโรง กินน้ำให้น้อยหน่อย จะได้ไม่ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำตอนเครดิตขึ้นนะครับ
FAQ: คำถามคาใจก่อนไปดู Avatar 3
- Q: ไม่เคยดูภาค 1-2 มาก่อน ดูภาคนี้รู้เรื่องไหม?
- A: บอกตรงๆ ว่า “งงแน่นอน” ครับ หนังเรื่องนี้เน้นความสัมพันธ์ของตัวละครที่ปูมาอย่างยาวนาน ทั้งปมพ่อลูก ปมแค้นฝังหุ่นของตัวร้าย แนะนำให้ไปหาเก็บตกภาคเก่าๆ ก่อน เพื่อให้การ ดูหนัง ภาคนี้ได้อรรถรสสูงสุดครับ
- Q: พาเด็กเล็กไปดูได้ไหม?
- A: แม้เรตติ้งจะประมาณ PG-13 แต่โทนหนังภาคนี้มีความเป็นสงครามสูง ดาร์กขึ้น ตึงเครียดขึ้น มีฉากการสูญเสีย ถ้าเด็กเล็กมากๆ อาจจะกลัวได้ครับ เหมาะกับเด็กโตหรือวัยรุ่นขึ้นไปมากกว่า
- Q: มีฉาก End Credit ไหม?
- A: มีครับ! และสำคัญมากด้วย ห้ามลุกเด็ดขาด
ใครที่วางแผนจะไปสัมผัสประสบการณ์ระดับโลกแบบนี้ ก็เตรียมตัวให้พร้อม ลาพักร้อน เคลียร์งานให้เสร็จ แล้วไปเจอกันในโรงภาพยนตร์ 17 ธันวาคมนี้ครับ ส่วนใครอยากเม้าท์มอยเรื่องหนัง หรือหาข้อมูลหนังเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติม แวะมาคุยกันได้ที่ onlygroub.com นะครับ ผมสิงอยู่ที่นั่นตลอด!
สิ่งที่ทำให้ภาคนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง คือการที่เจมส์ คาเมอรอน กล้าที่จะฉีกภาพจำ “ชาวนาวีผู้แสนดี” ทิ้งไป แล้วนำเสนอความซับซ้อนทางศีลธรรมผ่านชนเผ่าแห่งไฟ การถ่ายทำแบบ Performance Capture ที่เน้นอารมณ์ดิบเถื่อนของนักแสดง ผสมผสานกับงานวิชวลเอฟเฟกต์ระดับมาสเตอร์พีซ จะทำให้ Avatar: Fire and Ash เป็นมากกว่าหนังบล็อกบัสเตอร์ แต่เป็นงานศิลปะที่สะท้อนด้านมืดของจิตใจผ่านฉากหลังแฟนตาซีได้อย่างเจ็บแสบ
นี่ยังไม่นับความต่อเนื่องของอารมณ์ตัวละครที่ถ่ายทำแบบ Back-to-Back ทำให้นักแสดงเด็กเติบโตไปพร้อมกับบทบาทจริงๆ การปะทะกันระหว่าง “วิถีแห่งน้ำ” ที่สงบนิ่ง กับ “โทสะแห่งไฟ” ที่รุนแรง จะสร้างประสบการณ์ในโรงภาพยนตร์ที่บีบหัวใจและตระการตาที่สุดเท่าที่แฟรนไชส์นี้เคยมีมา
