13 Hours: The Secret Soldiers of Benghazi ถึงทุนสร้างจะไม่มาก แต่เนื้อหานั้นไม่เล็กทีเดียว สำหรับหนังเรื่อง 13 Hours: The Secret Soldiers of Benghazi ของผู้กำกับชื่อดังอย่างไมเคิล เบย์ ซึ่งงานนี้ขอทำหนังทุนเล็กจากหนังสือชื่อเดียวกันที่เขียนโดยมิทเชล ซัคคอฟ บอกเล่าเรื่องราวสุดระทึกกับเหตุการณ์การก่อการร้ายสถานกงสุลของสหรัฐอเมริกาฯ ซึ่งแน่นอนว่าหนังย่อมมีเอกลักษณ์ของผู้กำกับอย่างไมเคิล เบย์เอาไว้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นในด้านอารมณ์ของหนัง หรือภาพที่ปรากฏให้เห็นก็ตาม ผู้กำกับชื่อดังไมเคิล เบย์ ที่ใครๆรู้จักเขาจากผลงานหุ่นยนตร์รบ สุดยอดผลงานอย่าง Transformer ที่กวาดรายได้มาอย่างท่วมท้นแล้วทั่วโลก เขายังคงเดินในเส้นทางหนังแอ็คชั่นในแบบที่เขาถนัด ล่าสุดกับหนังสงครามที่มีเค้าโครงจากเรื่องจริงและเกิดขึ้นมาเมื่อปี 2012 และผู้กำกับรายนี้จะไม่ทำให้แฟนๆที่รอคอยชอมผลงานของเขาผิดหวังในปี2016 ถึงแม้จะสร้างมาจากเรื่องจริงที่แสนตึงเครียด ในส่วนของความมันส์ ความระทึกใจในแต่ละฉากแอ็ดชั่น ยังคงจัดหนักจัดเต็ม คุ้มค่ากับการรอคอย ทั้งฉากถล่ม การใช้อาวุธ การเข้าปะทะ ผู้กำกับคนเก่งและทีมงานฝีมือดีได้สร้างมาตรฐานคุณภาพหนังแอ็คชั่นที่สร้างมาจากเรื่องจริงให้สูงขึ้นไปอีกขั้น พร้อมทั้งนักแสดงชั้นนำมากฝีมืออีกคับคั่ง
จากเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับเหตุการณ์วินาศกรรมช็อกโลกเมื่อปี 2001 เพียงแต่คนละปี เพราะเหตุการณ์ที่เบงกาซีนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2012 เป็นช่วงที่ครบรอบ 11 ปีจากเหตุวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ บทหนังถูกดัดแปลงมาจากหนังสือเรื่อง 13 Hours ของมิทเชล ซัคคอฟ ส่วนผู้ที่มารับหน้าที่เขียนบทคือ ซัค โฮแกน และที่สำคัญคือผู้ซึ่งมารับหน้าที่กำกับหนังเรื่องนี้คือไมเคิล เบย์ผู้กำกับชื่อดังที่เคยสร้างความประทับใจในหนังแอ็คชั่นหุ่นยนต์อย่าง Transformer และผลงานของเขาระดับเจ๋งๆยังมีอีกมากมาย แต่คราวนี้เขาจะกระโดดมาทำหนังแอ็คชั่นที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการก่อการร้ายดูบ้าง
หนังเรื่อง 13 Hours: The Secret Soldiers of Benghazi
สำหรับเรื่องราวนั้นเริ่มต้นขึ้นสงครามในลิเบียยังคงร้อนระอุ เป็นผลมาจากการปฎิวัติชาติอาหรับ หรืออาหรับสปริงค์ ผู้คนต่างอยู่ในความหวาดกลัวและไร้ที่พึ่ง ขณะนั้นอำนาจของผู้นำกัดดาฟี่สิ้นสุดลง ประเทศแตกแยกเป็นหลายฝ่าย กลายเป็นความขัดแย้งที่หาข้อยุติไม่ได้เกิดขึ้น สุดท้ายกลายเป็นสงครามกลางเมืองแย่งชิงอำนาจกันเอง และความรุนแรงนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยังมองไม่เห็นแม้แต่ความหวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายลง และสิ้นสุดซึ่งการปรองดอง เมื่อจุดวิกฤติขั้นสุดมาถึง สถานทูตอเมริกา เมืองเบงกาซีในลิเบียถูกโจมตีอย่างฉับพลัน จากกลุ่มคนติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายที่พร้อมจะก่อวินาศกรรมร้ายแรงอย่างคาดไม่ถึง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้ง 6 คน ได้พยายามต่อสู้อย่างสุดความสามารถด้วยทุกอย่างที่มี เพื่อยับยั้งความรุนแรง ความเสียหายที่อาจประเมินค่าไม่ได้ที่อาจเกิดขึ้น ความรุนแรงปะทุมากขึ้น เมื่อเอกอัครราชทูตอเมริกาและคณะได้เสียชีวิตลงในเหตุการณ์โจมตีครั้งนี้ กลุ่มคนกล้าทั้ง 6 จะรักษาชีวิตเจ้าหน้าที่ของสถานทูตที่เหลือได้อย่างไร พวกเขาจะเอาตัวรอดจากวิกฤตินี้ได้หรือไม่ 13 ชั่วโมง ที่ยังไม่มีใครกล้าเปิดเผยเหตุการณ์ทั้งหมด เหตุผลที่ต้องสู้ต่อเพื่อเกียรติภูมิของชาติ ไฟสงครามที่กำลังตัวขึ้นอย่างช้า ชนวนเหตุจากความสูญเสียบุคคลสำคัญ แรงสั่นสะเทือนอันรุนแรงจากเหตุการณ์นี้จะส่งผลอย่างไรในอนาคตของโลกที่เราอยู่อาศัยเมื่อผู้ก่อการร้ายเข้าโจมตีสถานกงสุลของสหรัฐอเมริกาฯในเบนกาซี ประเทศลิเบีย เป็นช่วงเวลาเดียวกับการเกิดเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน เมื่อปี 2001 กลุ่มเจ้าหน้าที่ผู้รักษาความปลอดภัยทั้งหกคนต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะรักษาชีวิตของเหล่าผู้บริสุทธิ์จากกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มใหญ่เอาไว้ให้ได้มากที่สุด เสมือนเป็นการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง หากแต่พวกเขาก็ทำสำเร็จได้เพียงส่วนหนึ่ง เมื่อผลลัพธ์นั้นผู้ก่อการร้ายสามารถสังหารผู้บริสุทธิ์ที่สำคัญไปได้ถึง 4 คน เจ้าหน้าที่ 6 นายที่ที่ต้องต่อสู้เพื่อพยายามจะรักษาชีวิตของชาวสหรัฐให้รอดพ้นจากการถูกสังหาร ในเหตุการณ์ที่สถานกงสุลของสหรัฐที่ลิเบียถูกโจมตีโดยผู้ก่อการร้ายกับระยะเวลา 13 ชั่วโมงที่พวกเขาต้องทำอย่างเต็มที่ เพราะในสถานกงสุลแห่งนี้เต็มไปด้วยบุคคลสำคัญของสหรัฐทั้งสิ้น ทุกวินาทีหมายถึงชีวิตของคนสำคัญที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ซึ่งฝากไว้ในกำมือของพวกเขา
ใครที่ชอบหนังแอ็คชั่น ไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้โดยเด็ดขาด และยังได้รับรู้เหตุการณ์สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในรูปแบบหนัง นอกจากการได้รับข่าวสาร ถึงแม้เนื้อเรื่องยังมีการปรุงแต่งอยู่บ้าง แต่แก่นแท้ของเรื่องที่อยากนำเสนอก็คือ การเสียสละเพื่อคนในชาติ ถึงแม้อาจไม่มีใครพูดถึง แต่การได้ปกป้องประเทศไม่ว่าจะในรูปแบบใด ถึงแม้ผลลัพท์ที่ได้มาจะไม่สวยงาม แต่พวกเขาควรค่าแก่การได้รับน่ายกย่องถือเป็นการเอาเหตุการณ์ระทึกขวัญที่เกิดขึ้นจริงนั้นมาดัดแปลงเป็นหนังที่น่าสนใจ ยิ่งเมื่อผสมผสานกับฝีมือของไมเคิล เบย์ เรื่องทุนจึงไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้หนังเรื่องนี้น่าดูน้อยลงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเป็นเนื้อเรื่องแบบไม้ซีกงัดไม้ซุงเพื่อผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แล้วล่ะก็ มักจะเป็นอะไรที่ต้องชิงไหวชิงพริบกันอย่างสุดความสามารถ และหากถ้าผู้กำกับสามารถทำให้เรื่องราวนี้เปล่งประกายได้ คนดูย่อมจะปรบมือกันเกรียวแน่นอน อีกหนึ่งหนังที่ความน่าสนใจอยู่ที่การหยิบเอาเหตุการณ์จริงมาเขียนเป็นบทหนัง และการที่ได้ผู้กำกับชื่อดังอย่างไมเคิล เบย์มานั่งแท่นกำกับที่หลายคนก็จินตนาการว่าเราน่าจะได้เห็นสัญลักษณ์ความเป็นไมเคิล เบย์ในหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอน และเมื่อนำมาผสมผสานเข้ากับหนังที่มีเนื้อหาก่อการร้าย การรอดูว่ามันจะออกมารูปแบบไหนก็ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่น่าสนใจและน่าติดตามมากทีเดียว ในส่วนของเนื้อหานั้นก็ค่อนข้างระทึก เมื่อปฏิบัติการช่วยเหลือชีวิตคนสำคัญนั้นต้องแข่งกับเวลา แข่งกับผู้ก่อการร้าย การนำเสนอเรื่องราวการก่อการร้ายนั้นดูเหมือนจะเป็นอะไรที่เปราะบางทั้งสองฝ่าย ซึ่งต้องรอดูว่าทางผู้กำกับและทีมผู้สร้างจะนำเสนอประเด็นและความสนุกออกมาในด้านใด ซึ่งเมื่อครั้งที่เกิดเหตุการณ์จริงนั้นยังไม่มีใครรับรู้หรือเห็นเรื่องราวทั้งหมด หลายคนจึงคาดหวังว่าจะรอดูรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากหนังเรื่องนี้ นอกเหนือไปจากบทเรื่องราวและผู้กำกับ การออกแบบฉากบู๊ ฉากต่อสู้ การชิงไหวชิงพริบ ความระทึกก็สามารถเรียกผู้ชมได้ในอีกระดับหนึ่ง ต้องยอมรับว่าไมเคิล เบย์นั้นสร้างผลงานหนังแอ็คชั่นไว้ในระดับดีทีเดียว ทำให้หลายคนอาจจะคาดหวังแอ็คชั่น ระทึกใจ และการต่อสู้จากหนังเรื่องนี้พอสมควร ซึ่งเราก็ต้องคอยลุ้นว่าเขาจะทำออกมาได้ดีขนาดไหน ตัวหนังพร้อมเข้าฉายในประเทศไทย 28 มกราคมนี้