ใครๆ ก็รู้ว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่คือกระแสหลักของวงการภาพยนตร์ในยุคนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ภาคต่อของหนังซูเปอร์ฮีโร่หลายเรื่องกลับกลายเป็นหายนะ! ใช่แล้ว… ไม่มีอะไรแน่นอนในวงการนี้ เพราะแม้แต่ผลงานจากจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) หรือดีซี (DCU) ก็ยังมีภาคต่อที่ทำรายได้ต่ำกว่าคาด และถูกวิจารณ์ยับเยิน บทความนี้จะพาไปสำรวจ 10 ภาคต่อหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำให้แฟนๆ ผิดหวังอย่างแรง!
**1. “โจ๊กเกอร์ 2” (2024)**
หลังจาก “โจ๊กเกอร์” (2019) สร้างปรากฏการณ์คว้ารางวัลออสการ์ และทำรายได้ถล่มทลาย แฟนๆ ต่างตั้งตารอภาคต่อ “โจ๊กเกอร์ 2” ที่ได้ “ฮาร์ลีย์ ควินน์” มาร่วมแจม โดยมี “เลดี้ กาก้า” มารับบท และยิ่งเพิ่มความฮือฮาด้วยการประกาศว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีส่วนประกอบของดนตรี แต่ดูเหมือนภาคต่อจะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก ผลวิจารณ์ส่วนใหญ่เป็นลบ และทำรายได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งต่างจากภาคแรกอย่างสิ้นเชิง!
**2. “แบทแมน ปะทะ ซูเปอร์แมน: เผด็จศึกแห่งยุค” (2016)**
“แมน ออฟ สตีล” (2013) เปิดตัวจักรวาลภาพยนตร์ดีซี (DCEU) อย่างยิ่งใหญ่ และถึงแม้จะได้รับเสียงวิจารณ์ที่หลากหลาย แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอยู่ระดับหนึ่ง ภาคต่อ “แบทแมน ปะทะ ซูเปอร์แมน” ถูกมองว่าเป็นการต่อยอดความยิ่งใหญ่ แต่กลับกลายเป็นหายนะ! ความยาวของภาพยนตร์ ตัวละครที่ไม่น่าเชื่อถือ และพล็อตที่วกวน ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก ส่งผลให้ DCEU ในตอนนั้นต้องเจอกับปัญหาใหญ่และสูญเสียความน่าเชื่อถือไป
**3. “ธอร์: โลกมืด” (2013)**
“ธอร์” (2011) ประสบความสำเร็จอย่างงดงามและกลายเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเด่นของเฟส 1 ของ MCU การต่อยอดความสำเร็จนี้ด้วยภาคต่อ “ธอร์: โลกมืด” กลายเป็นการตัดสินใจผิดพลาด! ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกมองว่าน่าเบื่อและเป็นหนัง MCU ที่แย่ที่สุดในช่วงนั้น ตัวร้ายที่ไม่น่าจดจำ และพล็อตที่อ่อนแอ ทำให้ “ธอร์: โลกมืด” ถูกแฟนๆ MCU ตราหน้าว่าเป็นหายนะ
**4. “แบทแมน และ โรบิน” (1997)**
หลังจาก “แบทแมน ฟอร์เอเวอร์” (1995) ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ไม่ค่อยดี แต่ยังพออาศัยชื่อเสียงของ “แบทแมน” ของทิม เบอร์ตันอยู่บ้าง “แบทแมน และ โรบิน” กลับไร้เสน่ห์เหลือเกิน! ภาพยนตร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยความตลกแบบไม่น่าขำ และการตีความตัวละครแบทแมนที่ผิดเพี้ยน ทำให้ “แบทแมน และ โรบิน” ถูกนักวิจารณ์และแฟนๆ ตราหน้าว่าเป็นหายนะ ส่งผลให้ภาพยนตร์ “แบทแมน” หายหน้าหายตาไปจากโรงภาพยนตร์นานหลายปี
**5. “เดอะ อเมซิ่ง สไปเดอร์แมน 2” (2014)**
“เดอะ อเมซิ่ง สไปเดอร์แมน” (2012) เป็นการรีบูตสไปเดอร์แมนหลังจากไตรภาคของแซม ไรมี่ ภาคแรกไม่ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นเท่าไตรภาค แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอยู่ระดับหนึ่ง และนำไปสู่การสร้างภาคต่อ “เดอะ อเมซิ่ง สไปเดอร์แมน 2” แต่ผลลัพธ์กลับเป็นหายนะ! ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกวิจารณ์ถึงพล็อตและบทภาพยนตร์ที่ย่ำแย่ ถึงแม้จะมีการปล่อยทีเซอร์ภาคต่อและหนังสปินออฟ แต่ความล้มเหลวของ “เดอะ อเมซิ่ง สไปเดอร์แมน 2” ทำให้แฟรนไชส์นี้ถูกยกเลิกไป และในที่สุดโซนี่ก็ตัดสินใจร่วมมือกับมาร์เวลเพื่อนำสไปเดอร์แมนเข้าสู่ MCU
**6. “ซูเปอร์แมน กลับมา” (2006)**
หลังจากความสำเร็จของ “ซูเปอร์แมน” 2 เรื่องแรกของริชาร์ด ดอนเนอร์ หลายคนคาดหวังว่าภาพยนตร์ “ซูเปอร์แมน” ยุคใหม่ จะประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน “ซูเปอร์แมน กลับมา” เล่าเรื่องต่อจาก “ซูเปอร์แมน 2” โดยมีแบรนดอน รูธ รับบทเป็นซูเปอร์แมน แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับไม่สามารถสืบทอดความสำเร็จของภาคก่อนได้ หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือการที่มี “ซูเปอร์แมน” ภาคต่อออกมาแล้ว 2 เรื่อง ซึ่งทั้งสองเรื่องล้วนไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ บทภาพยนตร์ที่น่าเบื่อก็ยิ่งทำให้ “ซูเปอร์แมน กลับมา” เสื่อมเสน่ห์ แม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่สนุกในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถทำรายได้ตามเป้าหมายได้ และบทบาทของรูธในฐานะซูเปอร์แมนก็มีอายุสั้น
**7. “แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์: ควอนตัมเมเนีย” (2023)**
“แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์: ควอนตัมเมเนีย” เป็นภาคต่อของ “แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์” ซึ่งมีการแนะนำ “แคน เดอะ คอนเคอเรอร์” ตัวร้ายที่จะมาเป็นศัตรูหลักของ MCU ในอนาคต หลายคนคาดหวังว่า “ควอนตัมเมเนีย” จะเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ MCU ที่สำคัญที่สุดหลังจาก “เอนด์เกม” แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม! “ควอนตัมเมเนีย” ทำรายได้ต่ำกว่าคาด และได้รับเสียงวิจารณ์ที่เป็นลบอย่างหนัก ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในหนัง MCU ที่แย่ที่สุด ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของ “แอนท์-แมน” ที่เคยได้รับความนิยมจากแฟนๆ ต้องตกต่ำลง
**8. “ซูเปอร์แมน 3 & 4” (1983, 1987)**
ก่อนที่หนังซูเปอร์ฮีโร่จะโด่งดังไปทั่วโลก “ซูเปอร์แมน” ของริชาร์ด ดอนเนอร์ คือผลงานที่ปูทางไปสู่ยุคทองของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ หลังจาก “ซูเปอร์แมน” 2 เรื่องแรกประสบความสำเร็จ คริสโตเฟอร์ รีฟ ก็กลับมาสวมบทซูเปอร์แมนอีก 2 เรื่อง แต่ผลลัพธ์กลับเป็นหายนะ! “ซูเปอร์แมน 3” ถูกวิจารณ์ว่าดูไม่สมจริง และไม่สามารถสืบทอดความสำเร็จของภาคก่อนได้ ส่วน “ซูเปอร์แมน 4” ยิ่งแย่กว่า คุณภาพของภาพยนตร์ บท และการแสดง ตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ “ซูเปอร์แมน” ภาคต่อทั้งสองเรื่อง กลายเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
**9. “เดอะ มาร์เวลส์” (2023)**
ก่อนที่ “เดอะ มาร์เวลส์” จะออกฉาย กระแสตอบรับของภาพยนตร์ และซีรี่ย์ MCU ในช่วงนั้น ค่อนข้างแย่ อย่างไรก็ตาม “แคปเทน มาร์เวล” (2019) เป็นหนังที่ประสบความสำเร็จ จึงทำให้แฟนๆ คาดหวัง “เดอะ มาร์เวลส์” สูง ภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อยอดจาก “มิส มาร์เวล” และ “วานด้าวิชั่น” ซึ่งล้วนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามคาด “เดอะ มาร์เวลส์” ทำรายได้ต่ำกว่าคาด และได้รับเสียงวิจารณ์ที่หลากหลาย ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นหนัง MCU ที่ทำรายได้ต่ำที่สุด เรียกได้ว่าเป็นหายนะของภาคต่ออย่างแท้จริง!
**10. “อควาแมน และ อาณาจักรที่สูญหาย” (2023)**
“อควาแมน และ อาณาจักรที่สูญหาย” เป็นหนังเรื่องสุดท้ายของ DCEU แฟนๆ ต่างตั้งตารอว่าหนังเรื่องนี้จะปิดฉากแฟรนไชส์นี้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี “อควาแมน” (2018) เป็นหนึ่งในหนัง DCEU ที่ประสบความสำเร็จ ทั้งรายได้และเสียงวิจารณ์ แต่ “อควาแมน และ อาณาจักรที่สูญหาย” กลับกลายเป็นหายนะ การรีบูตของ DCU ทำให้ “อควาแมน และ อาณาจักรที่สูญหาย” ไร้ซึ่งความน่าสนใจ และทำรายได้ต่ำ เสียงวิจารณ์ก็ไม่ค่อยดี จึงนับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของภาคต่อหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ล้มเหลว
หนังซูเปอร์ฮีโร่คือกระแสหลักที่ไม่เคยจางหาย แต่การสร้างภาคต่อที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย การทำความเข้าใจแฟนๆ การเล่าเรื่อง และการพัฒนาตัวละคร เป็นสิ่งสำคัญ เพราะภาคต่อที่ล้มเหลวไม่เพียงแต่ทำลายความฝันของผู้ชม แต่ยังทำลายความเชื่อมั่นในแฟรนไชส์ และทำให้ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ สูญเสียความน่าสนใจไปได้
**หมายเหตุ**: เนื้อหาในบทความนี้เป็นการวิเคราะห์ และความคิดเห็นของผู้เขียน ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล
ที่มา : screenrant.com