สุสานคนเป็น
| ผู้กำกับ | วทัญญู อิงควิวัฒน์ |
|---|---|
| นักแสดงนำ |
|
| ประเภท | |
| เข้าฉาย | 24 เมษายน 2025 |
เรื่องย่อ
วงการหนังไทยเตรียมขนลุกซู่กับการกลับมาของตำนานความสยองระดับขึ้นหิ้งอย่าง “สุสานคนเป็น” ที่ถูกนำมาปัดฝุ่นสร้างใหม่ในรูปแบบภาพยนตร์ครั้งแรก โดยฝีมือผู้กำกับ วทัญญู อิงควิวัฒน์ จาก The Up Rank ภายใต้การผนึกกำลังของ M Studio และ Global Ink Studios งานนี้ไม่ได้มาเล่นๆ เพราะดึงตัวแม่ นุ่น-วรนุช ภิรมย์ภักดี มาประชันบทบาทกับ ก้อย-อรัชพร และ แก๊ป-ธนเวทย์ เพื่อตีความความรักความแค้นฉบับปี 2025 ให้น่าขนลุกยิ่งกว่าเดิม
เรื่องย่อ สุสานคนเป็น 2025 กับมุมมองความตายที่ไม่เหมือนเดิม
แกนหลักของเรื่องยังคงวนเวียนอยู่กับโศกนาฏกรรมความรักและการหักหลัง เมื่อ ลั่นทม (นุ่น วรนุช) เศรษฐีนีเจ้าของธุรกิจพันล้านเสียชีวิตลงอย่างมีเงื่อนงำ เปิดช่องให้ ชีพ (แก๊ป ธนเวทย์) สามีจอมเจ้าชู้ พา รสสุคนธ์ (ก้อย อรัชพร) ชู้รักเข้ามาเสวยสุขในบ้านพักตากอากาศ แต่เงื่อนไขมรดกกลับระบุให้ชีพต้องเก็บร่างไร้วิญญาณของภรรยาไว้ใน “โลงแก้ว” ณ ที่แห่งนั้นเป็นเวลา 100 วัน
จุดที่น่าจับตาคือการตีความคำว่า “สุสานของคนเป็น และคนตาย” ในเวอร์ชันนี้ เมื่อบ้านพักตากอากาศแสนสวยกลายเป็นกรงขังแห่งความสยองขวัญ รสสุคนธ์ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับศพของเมียหลวงที่ดูเหมือนจะยังตายไม่สนิท ความรักที่เคยหอมหวานจึงเริ่มเน่าเฟะ กลายเป็นวังวนแห่งราคะและความแค้นที่พร้อมจองจำทุกคนที่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้
การเล่าเรื่องในฉบับภาพยนตร์มีแนวโน้มจะกระชับและรุนแรงกว่าละครโทรทัศน์ โดยเฉพาะประเด็น “ความตายเป็นเพียงจุดเริ่มต้น” ซึ่งอาจไม่ได้หมายถึงแค่ผีหลอกวิญญาณหลอน แต่รวมถึงสภาวะจิตใจของตัวละครที่เหมือนตายทั้งเป็นจากการกระทำของตัวเอง
เบื้องหลังงานสร้างและการปะทะบทบาทระดับ A-List
สิ่งที่ทำให้โปรเจกต์นี้น่าสนใจที่สุดคือการคัดเลือกนักแสดง (Casting) ที่ดูเหมือนจะวางหมากมาอย่างดีเพื่อยกระดับความดราม่า-สยองขวัญ
- นุ่น วรนุช (ลั่นทม): การกลับมารับบทนำในหนังผีอีกครั้งหลังจาก “Don’t Come Home” ถือเป็นเครื่องการันตีคุณภาพ นุ่นขึ้นชื่อเรื่องการถ่ายทอดอารมณ์ซับซ้อนภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย ซึ่งเหมาะมากกับบทลั่นทมที่ต้องน่าเกรงขามและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน
- ก้อย อรัชพร (รสสุคนธ์): นี่คือตัวแปรสำคัญ จากเดิมที่บทเมียน้อยมักจะเป็นตัวร้ายดาษดื่น เวอร์ชันนี้อาจเล่าผ่านมุมมองของรสสุคนธ์มากขึ้น เธอไม่ใช่แค่ผู้สมรู้ร่วมคิด แต่เป็นคนที่ต้องเผชิญหน้ากับความสยองโดยตรงและพร้อมจะ “สู้กลับ” เพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ
- แก๊ป ธนเวทย์ (ชีพ): สานต่อความร้ายลึกจากซีรีส์ “สืบสันดาน” มารับบทสามีผู้มัวเมาในกิเลส ตัวละครนี้จะเป็นศูนย์กลางของหายนะทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ในส่วนของงานโปรดักชัน M Studio และทีมสร้างเลือกใช้โทนภาพแบบ Retro (ย้อนยุค) อาจเป็นยุค 70s หรือ 90s สังเกตได้จากเสื้อผ้าหน้าผมและการจัดแสง ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศหลอนลึกลับและมีเอกลักษณ์ ต่างจากหนังผีตุ้งแช่ทั่วไป เน้นความสวยงามที่แฝงความน่าสะพรึงกลัว (Uncanny Valley)
บทสรุป: ทำไมต้องดู “สุสานคนเป็น” ฉบับภาพยนตร์?
นี่ไม่ใช่แค่การรีเมคเพื่อหากินกับของเก่า แต่เป็นการ “ตีความใหม่” (Re-imagining) ที่น่าสนใจ ทั้งการตัดตัวละครสมทบบางตัวออก (เช่น อุษา) เพื่อโฟกัสที่ความสัมพันธ์สามเส้าให้เข้มข้นขึ้น และการยกระดับงานภาพสู่มาตรฐานภาพยนตร์ ใครที่เคยติดภาพจำจากละครทีวี เตรียมล้างตาดูความแค้นบทใหม่ที่โหดและเลือดเย็นกว่าเดิมได้เลย
สิ่งที่ทำให้ “สุสานคนเป็น 2025” แตกต่างจากเวอร์ชันละครโทรทัศน์อย่างสิ้นเชิง คือการยกระดับเรื่องราวสู่ความเป็น “Chamber Play” (ภาพยนตร์ที่เน้นตัวละครน้อยคนในสถานที่ปิดตาย) โดยผู้กำกับวทัญญูเลือกที่จะตัดทอนตัวละครแวดล้อมอย่าง “อุษา” หรือบริวารคนรับใช้ออกจนหมด แล้วบีบอัดเรื่องราวให้เหลือเพียง 3 ตัวละครหลักในบ้านพักตากอากาศกลางป่า (Cabin in the Woods) การเปลี่ยนแปลงนี้เปลี่ยนโทนของหนังจาก Melodrama แย่งชิงมรดก ให้กลายเป็น Psychological Horror ที่เล่นกับสภาวะจิตใจอันบิดเบี้ยวของมนุษย์อย่างเข้มข้น เมื่อ “ความเงียบ” ในบ้านกลายเป็นตัวกระตุ้นความหวาดระแวงได้ดียิ่งกว่าเสียงกรีดร้อง
ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดจากการตีความใหม่ คือการพลิกบทบาทของ “ผู้ถูกกระทำ” ผ่านสัญญะของการ “สิงสู่” (Possession) ที่ลึกซึ้งกว่าเดิม ในฉบับนี้ร่างกายของมนุษย์ถูกลดทอนค่าเป็นเพียง “ภาชนะ” ที่วิญญาณสามารถจับจองได้โดยไม่จำกัดเพศสภาพ ข้อมูลจากรอบฉายระบุถึงการแสดงช่วงไคลแมกซ์ที่ แก๊ป-ธนเวทย์ (ชีพ) ต้องแบกรับสภาวะบางอย่างที่ท้าทายกรอบความเป็นชายแบบเดิม (Toxic Masculinity) สะท้อนให้เห็นว่าในท้ายที่สุด อำนาจของผู้ชายที่พยายามควบคุมผู้หญิงมาตลอดทั้งเรื่อง กลับพ่ายแพ้ให้กับพลังงานที่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นการเสียดสีโครงสร้างปิตาธิปไตยผ่านหนังสยองขวัญได้อย่างเจ็บแสบ
นอกจากนี้ งานภาพยังจงใจสร้างบรรยากาศแบบ “Old School Horror” ที่ชวนให้นึกถึงหนังผียุค 2000s ผสมผสานกับความดิบของยุค 70s ผ่านการเกรดสีและจัดแสงที่เน้นความมืดทึม ตัดกับความสวยงามที่ดูปลอมประหลาดของ “โลงแก้ว” องค์ประกอบศิลป์เหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่แค่เป็นฉากหลัง แต่ทำหน้าที่เป็นกรงขังทางจิตวิทยาที่ทำให้คนดูรู้สึกอึดอัดไปพร้อมกับตัวละครรสสุคนธ์ ย้ำเตือนว่าความน่ากลัวที่สุดไม่ใช่ผีที่โผล่มาหลอก แต่คือการต้องใช้ลมหายใจร่วมกับ “ความตาย” ในพื้นที่ที่หนีไปไหนไม่ได้